วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

นิทานพื้นบ้านเมืองพนม"ตายมดึง"

ตายมดึง นิทานท้องถิ่นเกี่ยวกับเมืองพนม เรื่องที่ 1 เล่าโดย นายปณิธาน เรืองไชย (ลุงอ๊อต) :2555 *********************************** คนแก่คนเฒ่าได้เล่าต่อกันมานานแล้ว จากการสังเกตพบว่าคนท้องถิ่นสมัยนี้ร้อยละ 80 ขึ้นไป ไม่รู้ว่ามีนิทานปรัมปราของเมืองพนมอยู่ ตั้ง 2 เรื่อง เรื่อง แรกคือตายมดึง และเรื่องที่ 2 เกี่ยวกับเรื่องสังข์ทอง ซึ่งทั้ง สองเรื่องเกี่ยวพันกับชื่อของสถานที่หลายแห่งในเมืองพนม และใกล้เคียง ข้าพเจ้าเห็นว่าน่าจะอนุรักษ์ไว้เป็นมรดกของลูกหลานพนม และลูกหลานไทย จึงพยายามรวบรวมไว้ เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า.................. ในท้องถิ่นประจวบคีรีขันธ์ มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ “ยมดึง” (ต่อไปผู้เล่าขอเรียกว่าพ่อตายมดึง)ซึ่งมีน้องสาวชื่อ “ยมโดย” (หาอ่านประวัติเรื่องราวในช่วงตอนนี้ได้ในนิทานพื้นบ้านของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์) พ่อตายมดึง เป็นคนที่รักน้องสาวมาก ภายหลังที่น้องสาวเสียชีวิต ก็เสียใจมากและช้ำใจไม่สามารถทนอยู่ในบ้านเกิดได้ หนีเข้าป่าใหญ่มาทางทิศใต้โดยเลียบริมทะเลอ่าวไทยมาเรื่อยๆ จนพบปากแม่น้ำก็เดินทวนแม่น้ำตาปี แยกเข้าแม่น้ำพุมดวง เดินตรงไปในคลองพะแสง จนถึงหมู่บ้านใหญ่ ที่ปลายคลองพะแสง เจ้าของบ้านเป็นคนใจนักเลง ใจถึง ชื่อ “พ่อตาโจงโดง”(ปัจจุบันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สิงสถิตย์บนเทือกเขาในเขื่อนรัชชประภา อ.บ้านตาขุน จ.สุราษฎร์ธานี) ก็อาศัยพักอยู่กับพ่อตาโจงโดง ช่วยทำมาหากิน หาของป่าล่าสัตว์ และช่วยหาบน้ำชัน(น้ำมันที่ได้จากต้นยางป่า) อันพ่อตาโจงโดงนี้มีลูกสาววัยรุ่นสวยน่ารักเป็นแม่ศรีบ้านศรีเรือนอยู่คนหนึ่ง ชื่อ นางทองตึง (ต่อไปผู้เล่าขอเรียกว่าแม่ยายทองตึง) ได้แอบรักใคร่กับพ่อตายมดึง โดยที่พ่อตาโจงโดงผู้เป็นพ่อก็รู้ แต่ทำเป็นไม่เห็นพฤติกรรมของหนุ่มสาว ซึ่งตนเองก็มีใจอยากได้หนุ่มยมดึงที่มีความขยันไว้เป็นลูกเขยอยู่แล้ว สุดท้ายหนุ่มยมดึงกับสาวทองตึงก็ได้แต่งงานอยู่กินเป็นคู่สามีภรรยากัน ที่บ้านไกรสร(เดิม) ปลายคลองแสง หรือคลองพะแสง (ปัจจุบันน้ำท่วมหมดแล้ว คำว่าปลายคลอง ในที่นี้ หมายถึงต้นน้ำหรือในป่าต้นกำเนิดน้ำ) สองผัวเมียช่วยกันทำมาหากินแบบชาวชนบท สมัยนั้น เข้าป่าถางป่า เพื่อปลูกข้าว โดยการทำไร่ข้าวหยอด(เป็นการปลูกข้าวไร่วิธีหนึ่ง) แล้วปลูก บอน (เผือก) มัน ผักต่างๆปะปนกันไปในไร่ที่ปลูกข้าว พอข้าวตั้งท้องจะออกรวง จะมีกลิ่นหอมข้าวใหม่ มีช้างป่าเชือกหนึ่งได้กลิ่น ก็มากัดกินทำลายพืชผลของพ่อตายมดึง กะแม่ยายทองตึง เสียหายเกือบหมด ไล่ก็ไม่ไป หากเข้าป่าไป สักพักก็กลับมาอีก พ่อตายมดึงโมโหหนัก จึงคิดสังหารช้างเสีย ช้างรู้ตัวจึงหนีมารวมกับโขลงใหญ่ที่อยู่อีกที่โดยร่วมกันกัดกินพืชผักผลไม้ของชาวบ้านทำให้เดือดร้อนไปทั่ว ตายมดึงจึงจัดเตรียมอุปกรณ์ เช่นปืนแก็ป มีดพร้า หอก กระบอกใส่น้ำ ดินปืน ลาแม่ยายทองตึงแล้วก็เดินตามช้างเข้าป่าใหญ่ไป พ่อตายมดึงออกเดินทางจากปลายคลองพะแสง(เขตอำเภอบ้านตาขุน) ตัดป่าเขา ทะลุออกมาปลายคลอกศก ดินแดนเมืองพนม ก็ตามมาเกือบทันฝูงช้างใหญ่เห็นเข้าก็กลัววิ่งหนีกันวุ่นวาย บางเชือกก็เข้าป่าไป บางเชือกก็ลงพื้นราบ บางเชือกก็ลงคลองศก มีแม่ช้างพังท้องแก่ใกล้คลอดอยู่เชือกหนึ่งลงไปกินน้ำหันมาเห็นตายมดึงไล่ล่าก็ตกใจ คลอดตกลูกช้างมาหนึ่งเชือก ในกลางคลอง เป็นหินในคลองศก ต่อมาเรียก “บ้านลูกช้าง” (หมู่ที่ 7 ตำบลพนม อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี) พ่อตายมดึง ลากหอกเป็นทางเป็นร่องลึกจนน้ำไหล เป็นลำห้วย ลำบาง คนรุ่นหลังเรียก “บ้านบางตาม” วิ่งไล่เข้ามาในช่องภูเขา มีม้าอยู่ตัวหนึ่งกำลังกินหญ้าอยู่ เสียงอึกทึกครึกโครมสงสัยม้าจึงเหลียวมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วตกใจวิ่งกระโจนเข้าป่าไป ตรงนั้นต่อมา เรียก “ช่องม้าเหลียว” (พื้นที่ใกล้ตลาดพนม ต.พังกาญจน์) ช้างวิ่งหนี ตาวิ่งตามพ่อตายมดึงแก่เหนื่อยและโมโหมากที่ตามช้างไม่ทันสักที ยกปืนขึ้นจ้องแล้วยิง ผลปรากฏว่าไม่ถูกตัวช้าง ลูกปืนซึ่งทำกับลูกปรายตะกั่ว วิ่งผ่านเข้าไปในช่องภูเขา เรียกว่า “ช่องลูกปราย” อยู่ในพื้นที่ หมู่ที่ 2 บ้านบางหมาน ตำบลคลองศก อำเภอพนม) พ่อตายมดึงโมโหเลยโยนปืนทิ้งไปที่ภูเขา เรียก “เขาโยน” กลายเป็นภูเขาโหลน (ซึ่งอยู่เยื้องๆตรงข้ามกับทางเข้าวัดสองพี่น้อง ตำบลคลองศก) ซึ่งบางครั้งเห็นเป็นรูปปืนติดที่หน้าผาเขาโหลน ส่วนสุนัขที่ตานำมาด้วยก็วิ่งนำหน้าตาตามช้างทวนกระแสน้ำในคลองศกไป เห็นแลน(ตะกวด) ไม่รู้ว่าตัวอะไรจึงวิ่งไล่ตามแลนไป แต่ไม่ทันเพราะแลน(ตะกวด)ได้วิ่งขึ้นไปที่หน้าผา เข้าไปแอบในรู โดยโผล่ส่วนหางออกมา กลายเป็นหิน ต่อมา เรียก “แลนคารู” (อยู่หน้าผาหลังถ้ำ ของวัดถ้ำวราราม มองจากสะพาน ถนนสาย 401 สุราษฎร์ธานี – ตะกั่วป่า ก็เห็นได้ชัด) สุนัขแหนหน้าเห่าเฝ้าอยู่กลางคลอง จนกลายเป็นหิน ย่านนั้นเลยถูกเรียกว่า “ย่านมาแหน” (ปัจจุบันโดนกระแสน้ำเชี่ยวพัดล้มลง) ตาโมโหมากจับมีดพร้าขว้างไปที่แลน แต่ผิดไม่ถูกแลน พร้าหักออกเป็นหลายท่อน ท่อนหนึ่งลอยไปติดที่หน้าผาบนภูเขา ต่อมาเลยเรียก “ภูเขาพร้าหัก” ตายมดึงตามช้างต่อไปด้วยความโกรธ ไปถึงช่องเขาสองลูก ลมและฝน พัดและตกหนักมาก ตรงนั้นจึงเรียก “บ้านช่องลมช่องฝน” (อยู่ก่อนถึงวัดถ้ำวราราม ประมาณกิโลเมตรที่ 88-89 ถนนสาย 401) ตาไม่ได้หยุดไล่ต่อจนดินปืนในย่ามเปียกจึงเข้าไปในถ้ำใกล้ๆเทดินปืนทิ้ง ในถ้ำ จึงเรียก “ถ้ำดิน” พ่อตายมดึงยังไล่ช้างต่อไป จนช้างวิ่งหนีกระจัดกระจายไปหมด เหลือแต่ช้างพลายจ่าโขลง หนีข้ามเขตไปในเขตของป่าใหญ่เมืองพังงา ช้างอ่อนแรงทำให้ตายมดึงไล่ทันจึงใช้หอกที่พาไปซัดอย่างแรงแทงเข้าไปที่พุง(ท้อง) ของช้างจากซ้ายทะลุไปขวา เลือดไหลนองไปทั่ว ช้างเลยตายกลายเป็นภูเขาใหญ่ขวางในป่า (บริเวณเมืองพังงา) เรียกว่า “เขาช้าง” พุง(ท้อง)ของช้างที่ถูกแทงด้วยหอกแผลกว้างใหญ่เป็นถ้ำ เรียก “ถ้ำพุงช้าง” โดยมีแท่งหินขาวๆยาวสั้นไม่เท่ากันคล้ายๆกระดูกช้างจำนวนมากในถ้ำ จากนั้นพ่อตายมดึงถอดหอกออกจากพุงช้างลากมาเป็นทางร่องลึกมีน้ำไหล กลายเป็นลำห้วย ลำบาง เรียก “บางลากหอก” มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ภายหลังตายมดึงทราบว่าช้างที่ตนสังหารนั้นมีเจ้าของ ด้วยกลัวความผิดกฎหมายบ้านเมืองหนีเข้าป่าไปสร้าง ทับ (กระท่อม,เพิงพักชั่งคราว) ที่มุงหลังคาด้วยใบ ปุด (พืชชนิดหนึ่งคล้ายต้นขิงแต่โตกว่า) ต่อมาตรงนั้น เรียกว่า “บ้านทับปุด” (ทับปุดเป็นอำเภอในเขตจังหวัดพังงา) เพื่ออาศัยหลบซ่อนอาญาบ้านเมือง ด้านควาญช้าง เจ้าของช้างพลายมาเห็นช้างของตนนอนตายก็มีความเสียใจมาก เลยถอดงาใหญ่และยาวข้างหนึ่งพิงไว้ที่หน้าผาทิศเหนือของภูเขา ต่อมาเมืองนี้เรียก “เมืองพิงงา” และพังงาต่อมา และเอาโวงช้าง (อุปกรณ์บนคอช้าง) ไปวางไว้ข้างท้าย ต่อมาบริเวณนั้นเรียกว่า “บ้านท้ายช้าง” (ในเขตอำเภอเมืองพังงา) และเดินทางกลับไปได้ไม่มากนักก็เกิดเสียชีวิต และห่อผ้าก็กลายเป็นภูเขาหิน “ชื่อเขางุ้ม” ตายมดึงอยู่ที่ ทับปุดนานเห็นว่าน่าจะหมดเรื่องหมดราวเป็นแน่ จึงกลับบ้านที่ บ้านไกรสร ปลายคลองพะแสง และพบหน้ากับเมียรักคือ แม่ยายทองตึง แม่ยายทองตึงเล่าให้สามีฟังว่าตาไปเสียนานทำให้เกิดการแห้งแล้งฝนไม่ตก พืช ไม้ผล ข้าวไร่ ที่ทำไร่ข้าวหยอดไว้ ตายหมด ซึ่งบริเวณนั้น เรียก “ไสข้าวแห้ง” (น่าจะจมไปกับการสร้างเขื่อนรัชชประภา) พ่อตายมดึงเสียใจมากจึงเสียชีวิต ส่วนแม่ยายทองตึงตรอมใจคิดถึงสามี จึงวิ่งเข้าป่าใหญ่ กลายเป็นหมี บางครั้งก็กลายเป็นเสือ ยามลูกหลานผู้คนเดือดร้อน มีการบนบานให้ได้ตามความประสงค์ และมีการเข้าทรงเพื่อรักษาโรคต่างๆทั้งทางกายและทางใจอยู่เสมอ.....ก็จบแค่นี้ **********เรื่องตายมดึง ข้าพเจ้าก็ได้ฟังมาแค่นี้ หากขาดตกบกพร่อง ขอคำชี้แนะจากผู้รู้ด้วยครับ เพราะข้อมูลบางส่วนก็ได้มาจาก นิราศพนม มือถือ 089-970-5245 อีเมล์ : peelaung@hotmail.com หากอยากได้อรรถรสทางบทกวี ขณะนี้กำลังทำเล่ม นิราศพนมฉบับสมบูรณ์ ให้ท่านแจ้งความจำนงมาทาง อีเมล์ข้างบนนี้ แล้ว บอกเบอร์โทรศัพท์ของท่านที่ติดต่อได้ไว้ด้วยหากเสร็จเมื่อไรจะแจ้งกลับไปให้ทราบ ส่วนค่าใช้จ่ายไม่กำหนด แล้วแต่ศรัทธา เพราะท่านให้มาข้าพเจ้าก็รวบรวมร่วมกับผู้มีจิตศรัทธาท่านอื่นนำไปสร้างอุปกรณ์ห้องสมุด “มุมหนังสือพ่อครู” เพื่อติดอาวุธทางปัญญาให้กับคนชนบท เป็นห้องสมุดเอกชน บริการฟรีไม่มี