วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

นิราศพนม(ฉบับย่อ)


ที่ว่าการกิ่งอำเภอพนม พ.ศ. 2498
ประวัติเมืองพนมจากนิราศพนม พ.ศ.2502

นิราศพนม โดย พระธรรมรัตชโยดม (ก. ธมฺมวโร) เจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี -----------------นิราศพนม ประพันธ์โดย พระรัตนกวี (เกตุ ธรรมวโร) อดีตเจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี เจ้าอาวาส วัดไตรธรรมาราม อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จัดพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ ๒๕๐๔ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สาธารณชนคนรุ่นหลังข้าพเจ้า นายปณิธาน เรืองไชย ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านบางปรุ อำเภอพนม จังหวัด สุราษฎร์ธานี ขออนุญาตทำการคัดลอก เริ่มทำการคัดลอก เมื่อ ๒๕๕๔ โดยทำการคัดลอกสำนวน วิธีเขียนอักษรตามต้นฉบับในยุคนั้นทุกประการ เพื่อให้ ลูกศิษย์ ลูกหลาน และผู้สนใจ ได้อ่านและศึกษาประวัติศาสตร์ของเมืองพนมในห้วงเวลาที่กล่าวไว้ในนิราศพนม อีกทั้งวรรณกรรมนี้เป็นของหาอ่านได้ยากมาก หากทำการคัดลอกตกหล่นผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ส่วนดีของบทประพันธ์นี้ ขออุทิศให้กับ พระคุณท่านผู้แต่ง บทประพันธ์นี้ ผู้ที่เกี่ยวข้องในอดีตทุกท่าน และบรรพบุรุษตลอดจนพี่น้องในสกุล เรืองไชย ทุกคน ปณิธาน เรืองไชย ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ http://Ruangchai.pantown.com , http://yasant.blogspot.com e-mail: peelaung@hotmail.com , tel: 089-970-5245 *** ด้วยมีข้อจำกัดหลายประการไม่สามารถลงฉบับเต็มแบบสมบูรณ์ทั้งหมดได้ จึงลงให้อ่านฉบับย่อ ส่วนท่านใดต้องการฉบับเต็มทั้งฉบับ ไว้เก็บส่วนตัว ขณะนี้กำลังจัดทำอยู่ให้แจ้งความประสงค์ได้ทาง e-mail : peelaung@hotmail.com และ แจ้ง เบอร์โทรที่ติดต่อกลับได้ง่ายไว้ด้วย เข้าเล่มเสร็จเมื่อไรจะแจ้งให้ทราบ ส่วนค่าใช้จ่ายทางผู้ดำเนินการไม่กำหนดเพียงให้ท่านส่งมาตามศรัทธาเพื่อร่วมกันสร้างอุปกรณ์ “มุมหนังสือพ่อครู” เป็นห้องสมุดเอกชนบริการฟรีให้แก่สมาชิกในชุมชน **ผ.อ.ปณิธาน เรืองไชย** -------------------------------- ปีสองห้าศูนย์สองในพรรษา ยี่สิบเจ็ดเป็นวันเดือนกันยา อาตมาจำจากพรากไปไกล แต่ไม่ใช่ไปทางต่างประเทศ ไปขอบเขตเขาเขินเนินไศล ผ่านลำธารบ้านป่าชลาลัย นั้นคือในกิ่งพนมอุดมแดน ด้วยพฤกษาป่าเขาลำเนาไพร เขตกว้างใหญ่ไกลห่างอย่างสุดแสน ปลายคลองศกตกสิ้นสุดดินแดน แห่งแว่นแคว้นธานินทร์ถิ่นคนดี ครั้นเวลาสิบเอ็ด.ห้าสิบห้า ออกจากท่าเร็วนักด้วยจักรหัน ถึง ปากน้ำ สามแพร่งแหล่งสำคัญ เติมน้ำมันอีกถังต้องรั้งรา เมื่อสิบสอง.สิบห้าเศษนาฑี หยุดที่นี้คำนวณถ้วนสิบห้า แห่งกำหนดนาทีแล้วลี้ลา ขับนาวาเข้าช่องคลองศกไป ถึง วังฆ้อง คลองคดเช่นข้อศอก พฤกษางอกเรียงรายคล้ายไพรสาณฑ์ ริมขวาฝั่งวังลึกเหลือประมาณ ที่ริมธารสูงชันเช่นบรรพตา ว่าโบราณนานมีที่อาราม ฆ้องใบงามกลิ้งลงมาตรงท่า จมในคลองท้องธารนานเวลา มีปฤษณาลายแทงแพร่งพรายไป คนชาวกรุงมุ่งมาเพื่อหาลาภ ตามที่ทราบจัดการเป็นงานใหญ่ เอาเชือกคล้องฆ้องขึ้นมาทันใด เขาดีใจพูดโม้โอ้อวดดี เชือกคล้องฆ้องขาดคลาดจากฆ้อง ฆ้องลงคลองจมน้ำอยู่ตามที่ เขาเพียรคล้องฆ้องเปล่าไม่เข้าที จนบัดนี้ว่าฆ้องอยู่ท้องวัง ที่บนฝั่งเป็นทางเหมือนอย่างคู ว่ามีอยู่มานานกาลแต่หลัง เป็นลำคลองฆ้องกลิ้งวิ่งลงวัง จะจริงจังอย่างไรไม่รับรอง มาถึง เชี่ยวบางยาง ระหว่างย่าน น้ำไหลซ่านซู่ซ่าน่าสยอง แต่เรือดิ่งวิ่งวางอย่างคะนอง พอพ้นช่องเชี่ยวได้สบายใจ ลุถีง พังกาญจน์ล่าง อยู่ข้างซ้าย บ้านเรือนรายริมท่าชลาไหล ประมาณยี่สิบครัวทั่วๆไป เป็นบ้านใหญ่หนึ่งบ้านในย่านนี้ อันพังกาญจน์ท่านตั้งแต่ครั้งไหน หมายอะไรไม่ประจักษ์เป็นสักขี ค่อยศึกษาหาประเด็นเห็นจะมี เวลานี้รีบเร่งเบ่งไป รีบทยานผ่านใกล้ แม่ยายออด ว่าเป็นยอดแม่ยายหลายสมัย คนนับถือลือชามาแต่ไร เป็นหินใหญ่อยู่ฝั่งเยื้องพังกาญจน์ มาถึง เชี่ยวตาหวัง น้ำคลั่งกล้า เรือถลาลอยคว้างอย่างกล้าหาญ ว่าตาหวังตั้งบ้านย่านนี้นาน มาทำการเลี้ยงหมูอยู่จนตาย คนจึงเรียกเชี่ยวนี้มีชื่อตั้ง “เชี่ยวตาหวัง” ยังอยู่ไม่รู้หาย อันคนเราเขาว่าถ้าก่อนตาย ทำดีร้ายอย่างไรในชีวิต ทำดีชั่วตัวตายอยู่ภายหลัง ชื่อก็ยังไม่เลือนเหมือนลิขิต แต่ตาหวังเลี้ยงหมูยังอยู่ติด อย่างชีวิตตาหวังตั้งอยู่นาน มาประเดี๋ยวเลี้ยวผ่านพังกาญจน์เหนือ เบาเครื่องเรือลอยแลกระแสสาร นั่งทัศนาหน้าหลังเห็นพังกาญจน์ ว่าเรือนบ้านสามสิบเศษหลังคา เลยพังกาญจน์ผ่านเชี่ยวชื่อ ราหู เชี่ยวนี้ดูแรงร้ายคล้ายยักษี แต่บัดนี้ที่ตื้นพื้นวารี เชี่ยวคงมีแต่หย่อนกว่าก่อนมา ถึงเชี่ยว บางหิน ถิ่นที่ตั้ง บ้านคนครั้งก่อนมีที่นี้หนา แต่บัดนี้ที่ทางดูร้างรา เพราะมองหาหลายที่ไม่มีคน เรือทยานผ่านท่า บ้านปากวด จะเดาสวดก็ไม่เห็นจะเป็นผล คำว่าปา คือคว่างอย่างเด็กซน เที่ยวสัปดนคว่างหลังคาวัด คำว่า กวด หรือ จะกวด ลองสวดดู ที่เรารู้เคยเห็นเป็นพวกสัตว์ คือเหี้ยเล็กเด็กซนวนสกัด และคว่างซัดปาเล่นเป็นกีฬา หรือผู้ใหญ่ใครมาปาจะกวด เพื่อจะอวดฤทธิ์เบ่งว่าเก่งกล้า จึงชื่อบ้านย่านนี้ได้มีมา สิบหลังคาประมาณบ้านบัดนี้ มาถึง บ้านน้ำตก ยกมาเล่า ไม่ยืดยาวพอเห็นเป็นสักขี คงมีน้ำตกมาทั้งตาปี บ้านคนมีสิบกว่าหลังคาเรือน อยู่ฝั่งขวาหน้าบ้านย่านน้ำตก ฝั่งซ้ายรกรุกขาหาไหนเหมือน หากโก่นสร้างถางป่าไม่ช้าเชือน ทำบ้านเรือนอยู่บ้างอย่างสบาย ถึง บ้านปากบางยวน ควรสดับ “ยวน” เป็นศัพท์หลายอย่างทางที่หมาย คือ ยั่ว ล่อ ให้พอใจสบาย หรือทำให้เกิดกามความยินดี อันยียวนกวนใจถ้าใหลหลง ก็ยอมปลงใจเพลินเจริญศรี ผู้ถูกเร้ารบกวนเรื่องยวนยี ถ้าหากมีใจอ่อนต้องผ่อนตาม ผู้ถูกยวนควรยั้งตั้งสติ มีหิริละอายบาปอย่าหยาบหยาม ถ้าใหลหลงคงเหลวถึงเลวทราม คนลายครามยังรวนเพราะยวนยี ยวน อีกอย่างเป็นทางประวัติศาสตร์ เรียกคนชาติกรีกนานกาลก่อนกี้ เรียกชื่อไทยลานนาก็ว่ามี ไทยพวกนี้แต่ไรเรียกไทยยวน ยวน อีกอย่างทางเราเหล่าชาวใต้ มีความหมาย รวมกัน ไม่หันหวน เช่นผึ้งรวมทำรังยังที่ควร เรียก ผึ้งยวน ยังมีทุกปีไป ปลามารวมร่วมกันพรรณมัจฉา เรียก ยวนปลา จับกันอยู่หวั่นไหว แต่ยวนอื่นไม่ได้ยินในถิ่นไทย ของดไว้ไม่กล่าวให้ยาวนาน บางยวนนี้มีบ้านย่านฝั่งซ้าย ประมาณได้สิบกว่าหลังคาบ้าน ตามฝั่งขวาว่ามีพอประมาณ เจ็ดแปดบ้านเรียงรายอยู่ชายคลอง พี่น้องเราเหล่าย่านบ้านบางยวน หากถูกกวนก็จงได้ใช้สมอง อย่าเสียกลคนคดมาทดลอง ควรครอบครองครอบครัวตัวให้ดี ถึง ปากเหลิด เกิดฉงนสนเท่ห์ใจ หมายอะไรขอตั้งริมฝั่งนี้ มีปากบางฝั่งซ้ายได้ชื่อมี เรียกคลองนี้ คลองเหลิด เกิดมานาน มีที่วัดแรมร้างใกล้บางเหลิด แต่เพิ่งเกิดเร็วนักไร้หลักฐาน เรียกปากเหลิดฉันเกิดมาก็นาน ทั้งเขียนอ่านภาษามามากครัน แต่ไม่แจ้งแห่งความนามปากเหลิด ว่ากำเนิดด้วยอะไรยังใฝ่ฝัน ควรลบ ห. แผลง ด. เป็น ศ. พลัน ปากคลองนั้นจึงจะดีมีราคา วัดตรงนี้ที่ตั้งตรงปากเลิศ จักประเสริฐด้วยสงฆ์ทรงสิกขา อย่าให้ร้างแรมอยู่ดูกีดตา โปรดท่านทายกช่วยเข้าด้วยกัน เจ้าคณะในพนมประสมด้วย คืออำนวยการบ้างช่วยสร้างสรรค์ อาราธนาพระสงฆ์ทรงศีลธรรม์ ผู้ตั้งมั่นอยู่โยงอย่าโกงคน นำโอวาทศาสนามานั่งเทศน์ ให้สมเหตุปัจจัยจักได้ผล อย่าลวงหลอกปลอกปลิ้นกินสินบน อย่าซ้ำคนใหลหลงให้งงงวย อย่าปลุกเสกเลขยันต์พรรณคาถา อย่ามุสามักง่ายบอกใบ้หวย อย่าเก็บหอมรอมริบหยิบหวังรวย อย่าเอออวยน้ำหมากขากน้ำลาย ให้คนดื่มลืมตนเพราะคนเชื่อ จักเป็นเสือเหลืองสร้างทางฉิบหาย จงเคร่งคร่ำธรรมวินัยทั้งใจกาย วัดจะได้เลิศลอยไม่ถอยรา มาถึง เชี่ยวขุนพรหม นั่งชมเชี่ยว น้ำเป็นเกลียวไหลกลิ้งยิ่งนักหนา ชื่ออย่างนี้ว่ามีขุนพรหมมา ตั้งเคหาฝั่งซ้ายแล้วย้ายไป มาถึง บ้านบางพอ ไม่รอรั้ง บ้านอยู่ข้างฝั่งซ้ายไม่ยาวใหญ่ ประมาณสิบหลังคาเคหาไทย มองขึ้นไปเห็นสวนไม่ควรชม ด้วยมีต้นผลไม้ไม่แน่นหนา แต่สวนป่าในบ้านนั้นมีถม พี่น้องเราเขาอยู่อย่างอารมณ์ เย็นเหมือนลมเหมันต์ทุกวันคืน ไม่สร้างสวนเติมสวนที่ควรมี ให้เต็มที่เต็มทางอย่างบ้านอื่น ควรพากเพียรเวียนหวังให้ยั่งยืน สมแก่ที่พื้นดินงามตามธรรมชาติ ถ้าดินดีคนดีมีความหมั่น ผลพืชพันธุ์ ก็เจริญเกินขนาด ดินไม่ดีคนดีมีสามารถ ก็ยังอาจเสริมสร้างได้อย่างดี ข้างฝั่งขวาท่าชะวาก ปากคลองอุ่น เกลียวน้ำหมุนแยกย้ายหลายวิถี เป็นปากคลองร่องตื้นพื้นวารี ในคลองนี้น้ำใสไหลลงมา บางแห่งอุ่นเป็นไอไหลอีกข้าง แต่อีกทางน้ำเย็นเป็นนักหนา ดูประหลาดธรรมชาติเสกสรรมา จึงเรียกว่า คลองอุ่น เป็นคุณลักษณ์ แต่ก่อนที่ว่าการอำเภอตั้ง ริมขวาฝั่งคลองอุ่นอันมีหลัก อำเภอชะอุ่น นามตามประจักษ์ แต่ตามหลักภูมิศาสตร์คงคลาดกัน อันอำเภอเป็นต้นคนตั้งชื่อ มักยึดถือชื่อบ้านย่านเขตขันฑ์ อำเภอนี้มีคลองข้องสำคัญ เป็นสมัญแต่งตั้งครั้งก่อนมา คลองน้ำอุ่นเป็นนามน้ำไม่เย็น แต่เรียกเป็น ชะอุ่น หมุนภาษา ไม่ทราบความตามหมายเขาใช้มา ผู้ศึกษาควรฟังหวังวิจารณ์ อำเภอนี้มีประวัติจัดมาเล่า ตามผู้เฒ่า กำนันหมก บอกหลักฐาน ทั้งฉันได้สอบสวนคำนวณกาล ว่าอันธพาลอาศัยเวียนไปมา จึงตั้งติดเป็นแขวงในแหล่งนี้ ประมาณปีศักราชพระศาสนา คือสองสี่สามสามตามเล่ามา เพื่อขัดท่าอันธพาลผ่านไปมา ขึ้นอยู่ทางข้างเมืองนครศรี ธรรมราชมีสิทธิ์ขาดอำนาจใหญ่ ครั้นพระจุลจอมเกล้าเจ้าจอมไทย จึงโปรดให้จัดการงานปกครอง เป็นระบบมลฑลเทศาภิลาล จึงจัดการให้พรากออกจากข้อง นครศรีฯ ที่เขาเคยปกครอง มาขึ้นท้องถิ่นใหญ่เมืองไชยา แต่ พ.ศ. สองสี่สี่หนึ่งนั้น จนถึงวันเดือนปีบัดนี้หนา ผู้ปกครองท้องที่แห่งนี้มา เรียกกันว่า นายอำเภอ ผู้ประธาน ที่หนึ่งชื่อ หลวงปราบประทุษราษฎร์ ผู้สามารถราชกิจด้วยจิตหาญ ราวกำหนดแปดปีมีประมาณ ต่อมา ท่านหมื่นสมุทรคีรี ราวหกปีที่อยู่ดูอุดม อีก นายชม ต่อมารับหน้าที่ อยู่ไม่นานประมาณสักสองปี ต่อจากนี้ นายเอื้อม เป็นอำเภอ อยู่ประมาณสี่ปีมีความเห็น จึงทำเป็นรายงานสารเสนอ ท่านผู้ใหญ่เห็นด้วยยอมอวยเออ ย้ายอำเภอไปตั้งยังพนม เรียก อำเภอพนม สมชื่อบ้าน ด้วยสถานที่เฉพาะพอเหมาะสม อยู่ใกล้คลองท้องที่คนนิยม แต่สังคมคนน้อยนับประมาณ มาถึง วังป้ากิ้ม ริมฝั่งขวา เห็นชลาไหลเชี่ยวเกลียวน้ำหัน ด้วยป้ากิ้มแกมาตั้งคามันตร์ จึงเรียกกันอย่างนั้นอันดับมา ถึง เชี่ยวไทร ใจเต้นเห็นน้ำเชี่ยว เรือแล่นเลี้ยวลัดไปไวนักหนา มองบ้านคนบนฝั่งเห็นหลังคา ข้างฝั่งขวามีราวสิบเก้าเรือน เรือทะยานผ่านเลี้ยวถึง เชี่ยวกุ้ง คลองเป็นคุ้งกว้างใหญ่ไหนจะเหมือน มองขวาซ้ายไม่เห็นเป็นบ้านเรือน น้ำไหลเลื่อนอย่างหลั่งพลั่งๆลง บนฝั่งขวาป่าเขาลำเนาไพร เห็นสูงใหญ่กว้างขวางอย่างระหง เขาพนม หรือ เขานม เราชมพง เป็นแดนดงป่าไม้มากหลายพรรณ เลยเชี่ยวกุ้งมุ่งเลี้ยวถึง เชี่ยวม่วง น้ำไหลร่วงหล่นอู้อยู่ฉาดฉาน มีหลายเลี้ยวเกลียววนชลธาร เรืออื่นผ่านไม่ง่ายสายวารี แต่เรือเราเบาลำถึงน้ำกล้า วิ่งถลาเร็วไปในวิถี ถึงหัวเชี่ยวเหลียวมองลำคลองมี อันคลองนี้น้ำนองเรียก คลองพนม บ้างเรียกร้อง คลองนม จะสมชื่อ อะไรหรือเรียกนามจะงามสม จะเรียก นม หรือว่าเรียก พนม ตามนิยมเหตุผลแต่ต้นมา พนม หรือคือเขาลำเนาไพร มิใช่ไทยเป็นเขมรเกณฑ์ภาษา ชาวเขมรคงมาตั้งแต่หลังมา เขาและป่า คลอง นี้จึงมีนาม ว่า พนม สมค่าภาษาเขา แต่ไทยเราอยู่แคว้นแดนสยาม ภาษาใครไหลมาก็ว่าตาม จะว่างามก็ว่าได้สบายใจ แต่โบราณนาเนาล้วนเขาป่า เขมรมาตั้งบ้านอยู่ย่านไหน เชื้อเขมรก็ไม่เห็นเป็นแต่ไทย ใครที่ใดเอาภาษามาว่ากัน อย่างหนึ่งหนาแปลว่า พนมมือ ด้วยนับถือสุจริตไม่บิดผัน ประณมไหว้คารวะอภิวันทน์ อย่างเขาสรรค์สร้างเทพพนมมือ ถ้าอย่างนี้ที่ไหนใครนิยม มาพนมมือไหว้ที่ไหนหรือ ขอฝากไว้ให้วิจารณ์การหารือ ในเรื่องชื่อว่า พนม ยังงมงาย หรือว่ามี พนมพระ พนมศพ ค้นคว้าจบก็ไม่เห็นเป็นเงื่อนสาย เรื่องพนมสมชื่อหรือกลับกลาย ขอฝากให้นักวิจารณ์อ่านแล้วตรอง ยังอีกอย่างทางสายปลายคลองนี้ เขาว่ามีดินขาวไม่เศร้าหมอง น้ำท่วมใหญ่ไหลลงมาตรงคลอง น้ำขาวนองไหลซ่านปานน้ำนม จึงเรียกนามคลองนี้มีนิมิต ฉันคิดๆไปมาน่าเห็นสม ควรสำเหนียกเรียกร้อง คลองน้ำนม หรือคลอง นม สมน้ำตามเล่ามา แม้ชาวบ้านย่านนี้ยังมีเรียก โดยสำเหนียก คลองนม สมนักหนา ว่า ปากนม ก็เรียกเพรียกกันมา ส่วน พะ หน้าหลัง นม นิยมกัน เมื่อตั้งกิ่งอำเภอพนมนี้ สี่สิบปีล่วงมาแต่คราฉัน เด็กๆได้ฟังดังรำพรรณ เรื่องเสริมสรรค์ภาษาพาเพี้ยนไป ชาวภาคใต้ฝ่ายเราเอาแต่ง่าย ชื่อใดหลายคำตัดตามนิสัย เช่นมะนาว.มะพร้าว.มะปราง.ไทย มะตัดไปเหลือ พร้าว.และนาว.ปราง ชาวกรุงเทพฯมาถามตามพื้นบ้าน เขาบอกขานชื่อนามตามเยี่ยงอย่าง เช่นบอกนาม คลองนม สมที่ทาง อีกทั้งอย่าง ปากนม นิยมกัน ชาวเมืองในได้ฟังคิดดังว่า ชนประชาชาวใต้ชอบใช้สั้น คิดว่าตัด พะ หน้าอย่างว่ากัน เติม พะ พลันหน้า นม เป็นสมญา จึงเรียกร้อง คลองพนม.ปากพนม เขาพนม.กิ่งพนม.แทบทุกหน้า เรื่องน้ำขาวราวนมเป็นสมญา แต่ก่อนมาเกือบหายสลายไป ขอฝากไว้ให้คิดพินิจดู ไม่ลบหลู่ดูแคลนแบบแผนไหน ให้เสียหายได้ประโยชน์เป็นโทษใคร แต่นิสัยฉันชอบสอบสวนดู ข้างฝั่งซ้ายชายคลองมองเห็นวัด มีทิวทัศน์อารามช่างงามสม เขาเรียกนามบัญญัติ วัดพนม เป็นอุดมอาวาสสะอาดดี พื้นริมน้ำงามเห็นเป็นหาดทราย ดูเลื่อมลายขาวผ่องละอองสี ถัดขึ้นมาท่าลาดสะอาดดี แต่บางที่สูงชันเป็นอันดับ มีกุฏิวิหารและการเปรียญ ทั้งโรงเรียนนักธรรมตามตำหรับ อุโบสถโสภนยลระยับ เครื่องประดับงดงามตามสมควร เห็นกฎีที่ท่านสมภารพัก สร้างเป็นหลักฐานงามสมตามส่วน กฎีสงฆ์วงวัดจัดพอควร มีทั้งสวนต้นไม้มากหลายพันธุ์ มีโรงเรียนประชาบาลชั้นประถม, ทั้งมัธยมโรงหนึ่งพึ่งสร้างสรรค์ วัดพนมนี้ใหญ่ในเขตคัน เป็นวัดชั้นตัวอย่างทางพนม นามสมภารท่านนี้คือ ท่านนัด สัญญาบัตรทินนามก็งามสม ที่พระครูสุรัษฎาภิรมย์ เป็นพนมคณะสงฆ์องค์ประธาน เจ้าคณะตำบลคนนับถือ รู้จักชื่อทั่วไปในสถาน แต่เรามาไม่พบท่านสมภาร ไปพังกาญจน์งานศพครบร้อยวัน วัดพนมนี้จัดเป็นวัดเก่า ตามผู้เฒ่าเล่ามาว่านานหลาย เห็นไม่น้อยราวร้อยเศษปีปลาย ผู้แรกได้ประเดิมสร้างปางก่อนมา ชื่อ พ่อท่านขุนทิพย์ ที่ประธาน เป็นสมภารสามารถในศาสนา อยู่นานน้อยเท่าใดไม่ได้ตรา ลำดับมา ท่านชู ผู้ชำนาญ เป็นสมภารประมาณสี่สิบปี สึกจากชีกลับไปอาศัยบ้าน ท่านพระครูผึ้ง ผู้มีวิชาชาญ เป็นทหารบางกอกหนีออกมา ปกครองมาราวห้าสิบปีเศษ จนสิ้นเขตแห่งวันชันษา พระอุปัชฌายะตีด ติดต่อมา รับสัญญาบัตรพระครูอยู่พนม เมิ่ พ.ศ. สองสี่เศษเก้าห้า สร้างวัดวาเจริญอยู่ดูพอสม ชื่อพระครูสุรัษฎาภิรมย์ ชาวพนมนับถือชื่อเสียงดัง ปกครองมากว่าสี่สิบปีเศษ จนสิ้นเขตชีวินก็สิ้นหวัง พ.ศ.เศษเก้าสิบแปดปีมรณัง ครั้นภายหลัง สมุห์นัด จัดปกครอง เป็นพระครูสุรัษฎาภิรมย์ ในพนมนามนี้มีแล้วสอง ปีสองห้าศูนย์ศูนย์ก็สมปอง เป็นโชคของท่านนัดสวัสดี เจ้าคณะตำบลคนนิยม วัดพนมเจริญงามตามศักดิ์ศรี โปรดรักษาอย่าเอือมเสื่อมกรณีย์ ให้วัดนี้เจริญอยู่คู่โลกา ในวัดนี้มีศักดิ์เป็นหลักฐาน โบสถ์วิหารสะอาดในศาสนา ทั้งพระศรีมหาโพธิโรจนา ฉันนำมาปลูกไว้ให้สักการ ที่ยี่สิบกันยาศาสนาพุทธ์ เศษที่สุดเก้าเจ็ดเขตสถาน แห่งพนมรมย์รื่นต่างชื่นบาน ด้วยมีงานปลูกโพธิ์มโหฬาร์ องค์ประธาน ท่านพระครูสุรัษฎ์ (ตีด) พร้อมกับศิษย์และญาติในศาสนา นายเจริญ ปลัดกิ่งก็ศรัทธา เป็นหัวหน้าคฤหัสถ์จัดการดี อนุสรณ์ศรัทธาน่าสรรเสริญ คุณเจริญสร้างไว้ให้เป็นศรี มหาโพธิ์โสภาสง่าดี ปลูกไว้ที่ริมคลองมองเห็นชัด ที่เหนือท่าหน้าวัดจัดเป็นที่ ปูชนีย์คำนึงพึงประหวัด ถึงองค์พระพุทธเจ้าถึงคราวตรัส รู้อรรถอุดมแดนแสนสบาย มาถึง เชี่ยวหัวลิง วิ่งหัวเงย แต่ก็เลยไปได้ไม่ขัดข้อง เชี่ยวหัวลิงกลิ้งกล้าคราน้ำนอง มีบ้านช่องสองฝั่งเห็นหลังคา เขาเล่าขานว่าบ้านนั้นหลายหลัง ทั้งสองริมฝั่งน้ำสามสิบกว่า เชี่ยวหัวลิงสิ่งอะไรใครตั้งมา หัวหัววานรมีที่หัวลิง อันหัวลิงสิ่งนี้น่ามีสอง หนึ่งสมองของคนซุกซนยิ่ง เที่ยวปลอกปลิ้นลิ้นชั่วเช่นหัวลิง สองลิงจริงคือหัวตัววานร อันพวกเราเหล่าตัวหัวมนุษย์ บริสุทธิ์สมธรรมไม่สำสอน กิจทั้งมวลควรตั้งความสังวร ไม่หลอกหลอนปล้อนปลิ้นทำลิ้นคด ไม่ซุกซนจนเสียมารยาท ให้เคลื่อนคลาดศีลธรรมเกินกำหนด สมองหัวตัวคนจนปรากฏ ไม่คิดคดคิดชั่วเช่นหัวลิง เรือทะยานผ่านท่า บ้านจ่าเมือง ชื่อนี้เขื่องอย่างไรหรือใหญ่ยิ่ง เมืองที่ไหนไม่เห็นเป็นความจริง ริมตลิ่งฝั่งซ้ายหลายหลังคา ประมาณสิบสองบ้านในย่านนี้ ดูพื้นที่เป็นพงดงแน่นหนา ขอพี่น้องของเราเหล่าที่มา อยู่บ้านจ่าเมืองนี้อย่ารีรอ รีบก่อร่างสร้างหลักเสริมศักดิ์ไว้ ให้สมหมายชื่อบ้านท่านเถิดหนอ ถ้าพากเพียรเวียนหวังตั้งใจคอ คงจะพอสมตามนามแน่นอน มาถึง เชี่ยวสามรู ดูชอบกล น้ำไหววนเวียนวกกระฉกกระฉ่อน รูสองข้างกว้างใหญ่ในสาคร รูกลางค่อนข้างตื้นพื้นช่องแคบ ระหว่างรูหมู่ไม้คล้ายหางนาค, มาหยั่งรากเรียงอยู่ดูเป็นแถบ, เรือเราดิ่งวิ่งวางพลางเข้าแอบ แล้วแฉลบเลยไปในทันที มาถึง บ้านทอนคลัง ตั้งวิจารณ์ มองเห็นบ้านเรียงรายชายวิถี ราวสิบสองหลังคาเคหามี รวมอยู่ที่ฝั่งขวาน่าสบาย ชื่อทอนคลัง ตั้งไว้เพราะได้ปลา ในทอนท่าชลธารเมื่อนานหลาย เรียก ปลาคลัง ใหญ่อย่างลูกช้างพลาย คนจับได้ฆ่าแกงแบ่งกันกิน เรือวิ่งเลี้ยวถึง เชี่ยวชื่อหัวค่าง ทั้งสองข้างเห็นสวนล้วนอาสิน มีสวนยางพาราฯริมวาริน อยู่ยังถิ่นฝั่งขวาดูน่าชม ฝั่งตรงข้ามงามล้วนแต่สวนพลู เรามองดูพลูมีที่นี้ถม ที่พลูมีมากยิ่งในกิ่งพนม มีสังคมหลังคาสี่ห้าคาม ถึง ปากหาน ย่านนี้มีกำหนด ว่าทางรถไฟผ่านสะพานข้าม เขากรุยทางวางหมุดเป็นจุดงาม รถจะข้ามเมื่อใดไม่รู้เลย จากชุมทางทุ่งโพธิ์โยกโย้มา พอถึงท่าขนอนหยุดนอนเฉย ขออีกครึ่งถึงพนมจะชมเชย ถ้าหากเลยไปพังงาก็น่ารัก หวังว่าการรถไฟคงไม่ทิ้ง ที่ประวิงก็เพราะเห็นเป็นอุปสรรค ถ้ารถผ่านย่านนี้คงดีนัก สิ่งเป็นหลักสินทรัพย์นับอนันต์ วัตถุดิบแดนป่าพนาสาณฑ์ เหลือประมาณทั่วท้องข้องเขตขันฑ์ มีแร่ไม้หลายอย่างต่างๆพันธุ์ คนคอยหันเข้าจองแต่ต้องรา คงจะได้ระบายคนพลเมือง ที่แน่นเนืองในกรุงยุ่งนักหนา สองแสนคนพลไทยใหม่เกิดมา ในเวลาหนึ่งปีที่คำนวณ ถึง เชี่ยวเปรว เร็ววันหันเรือวิ่ง น้ำไหลกลิ้งคลื่นคลั่งทั้งหันหวน ว่ายามแล้งแห้งเขินจนเกินควร เรือจะด่วนขึ้นล่องไม่คล่องคลาย เปรวนี้หนาภาษาไทยทางใต้ เป็นชื่อใช้ ป่าช้า มานานหลาย คือที่ไปไม่กลับนับเป็นปลาย ชีวิตวายรีบเร็วเข้าเปรวไป อนิจจาน่าอนาถชาติมนุษย์ ผู้ที่ผุดเกิดมาคราไหนๆ ถึงหลงรักหนักน่วงดังดวงใจ บ้างหลงใหลกิเลศกามตามรึงรัด รักเมียผัวตัวตนจนลูกหลาน ทรัพย์ศฤงคารครอบครองมักข้องขัด หรือแค้นคิดริษยาสารพัด แย่งสมบัติฆ่าฟันกันวุ่นวาย ว่าของเขาของเราพวกของเขา ยิ่งมัวเมานอกในไม่เหือดหาย จะอัปรีย์ดีชั่วครั้นตัวตาย ครั้งสุดท้ายคือเปรวเหลวทุกคน ไปถึงเปรวเร็วช้าถ้าคิดถูก รีบฝังปลูกก่อสร้างทางกุศล แม้ตัวตายไว้ลายให้หมู่คน ข้างหลังบ่นถึงบ้างในทางดี ถึง บ้านลูกเดือนใต้ สองฝ่ายฝั่ง บ้านคนตั้งเรียงรายชายวิถี ว่าเจ็ดแปดหลังคาขวาวารี ฝั่งซ้ายมีสิบสองบ้านทั้งด้านใน มาถึง ลูกเดือนเหนือ เรือวิ่งผ่าน มีเรือนบ้านสองฝั่งทั้งเล็กใหญ่ เจ็ดแปดหลังข้างขวาชลาลัย มองข้ามไปตรงขวาสี่ห้าเรือน พอเรือเลี้ยวเดี๋ยวกระทั่ง วังทองจันทร์ น้ำลึกหันหวนกล้าหาไหนเหมือน ป้าทองจันทร์มายั้งตั้งบ้านเรือน เหนือลูกเดือนเมื่อครั้งแต่หลังมา บ้านลูกเดือนเตือนใจให้ใฝ่คิด ชื่อชนิดนี้หมายอะไรหนา หรือตั้งไว้หมายสมัญลูกจันทรา หรือลูกป้าทองจันทร์นั้นประเดิม เพราะเหตุใดก็ตามแต่นามนี้ ไพเราะดีนักหนาน่าส่งเสริม ให้บ้านนี้วัฒนาขึ้นกว่าเดิม ควรเพิ่มเติมทุกส่วนที่ควรมี มาถึงแดน แสนสุข ปลอบปลุกจิต ให้เราคิดหนีทุกสร้างสุขศรี แสนสุขมีที่ไหนใครว่ามี คนเรานี้หลงทุกข์ว่าสุขสบาย มีแต่ทุกเท่านั้นอันเกิดมา สิ่งนานาคือทุกข์ทุกเงื่อนสาย สิ่งที่เกิดเก่าใหม่ทั้งใจกาย ทุกข์ไม่วายว่างเว้นเป็นนิรันตร์ นอกจากทุกข์ที่ไหนอะไรเกิด ก่อกำเนิดด้วยทุกข์ทุกสิ่งสรรพ์ ทุกข์เท่านั้นที่ดับสัพพพันธ์ นอกจากนั้นสิ่งใดที่ไหนดับ เป็นอันว่าโลกนี้ไม่มีสุข มีแต่ทุกข์แท้จริงทุกสิ่งสรรพ์ บ้านแสนสุข สำราญที่ท่านนับ คงใช้ศัพท์สมมุติให้สุดดี อันว่าแดนแสนสุข สิ้นทุกข์โศก นั้นคือโลกอุดรแดนแสนสุขศรี ฆ่ากิเลศเศษเชื้อเหลือไม่มี ในธานีรัตนะพระนิพพาน ชื่อบ้านนี้มีนาน บ้านโกะกะ คนอยู่ ณ ขวาฝั่งตั้งเรือนบ้าน ประมาณสิบหลังคาล้วนอาคาร มีหลักฐานมั่นคงพอทรงตัว ข้างฝั่งซ้ายใกล้ท่ามีป่ารก ไม้คลุมปกเขื่อนขอบอยู่รอบทั่ว ที่ลุ่มลาดไม่อาจตั้งครอบครัว เพราะเหตุกลัวน้ำหลากมากมาจม ชื่อ โกะกะ อะไรใครแต่งตั้ง มองสองฝั่งไม่มีที่เห็นสม ภาษาไทยไม่มีที่นิยม มักมีถมแถวผู้ไม่รู้ความ มาประเดี๋ยวถึงเชี่ยวชื่อ สะท้อน คลื่นกระฉ่อนคลุ้มคลั่งบนหลังน้ำ ชื่อสะท้อนน้ำกระดอนกระเด็นตาม ที่ใต้น้ำหินขวางหนทางเรือ ถึง เชี่ยวส้าน ซ่านซ่าวารีเชี่ยว เป็นเกลียวๆกลิ้งกล้าน่ากลัวเหลือ มีหินขวางกลางร่องช่องเดินเรือ คนข้างเหนือชำนาญการนาวา เขาถ่อเรือเรี่ยวแรงแข็งขันยิ่ง น้ำไหลกลิ้งไม่ยั้งกำลังกล้า ถ้าชาวใต้ไม่ไหวการไปมา ต้องสิ้นท่านอนค้างอยู่กลางแปลง เมื่อสิบสาม.ห้าสิบรีบแล่นเลี้ยว มาถึง เชี่ยวลูกช้าง อยู่กลางแหล่ง หินเป็นรูปลูกช้างร่างตะแคง น้ำเชี่ยวแรงคลื่นคลั่งเป็นวังวน ขับเรือรุกบุกเชี่ยวเลี้ยวไปซ้าย สายคัดท้ายขาดขวางอยู่กลางหิน หัวเรือเบนแอนแฉลบแอบน้ำวน หยุดเครื่องยนต์ซ่อมสายคัดท้ายพลัน เมื่อสิบสี่.สามสิบรีบออกวิ่ง น้ำไหลกลิ้งคลื่นคลั่งอย่างกังหัน ถึง บางโศก โยกย้ายแทบไม่ทัน เกือบถลันชนฝั่งข้างคุ้งคลอง ชื่อบางโศกโลกสร้างเป็นทางโลก มีต้นโศกสะพรั่งริมฝั่งสอง โศกอะไรไหนเห็นยังเป็นรอง โศกในห้องหัวใจดังไฟฟอน ไม่สมหวังตั้งแต่จะโศกเศร้า ให้ร้อนเร้าทรวงในฤทัยถอน มาถึง วังทองประเทือง หรือ ทองเรือง ติดต่อเนื่องเขาดินในถิ่นที่ เรียก เขาทองประเทืองเรื่องคงมี แต่เรานี้จะเล่าไม่เข้าใจ แถววังนี้ที่งามน้ำลึกมาก ทั้งสองฟากน้ำปันกันกันหลั่งไหล ข้างหนึ่งขึ้นหนึ่งลงวงเวียนไป คนอาศัยสองหลังข้างฝั่งซ้าย เรือวิ่งไวไม่ยั้งถึง วังพะ มีชละลึกกว้างระหว่างสาย สามหลังคาขวาฝั่งตั้งเรียงราย คลองเลี้ยวซ้ายน้ำเชี่ยวเป็นเกลียวนอง เรียกตามนามมัจฉาคือ ปลาพะ รวมคณะอยู่วังดังในหนอง คนมาจับนับได้เป็นก่ายกอง จึงเรียกร้องวังนี้มีชื่อมา มาถึง บ้านย่านตื้นพื้นวารี ในย่านนี้หน้าแล้งยามแล้งแห้งนักหนา คนเหนือใต้ใครผ่านย่านไปมา เข็นนาวาข้ามตื้นพื้นทรายไป มองเห็นบ้านหนึ่งหลังอยู่ฝั่งซ้าย ว่าบ้าน นายชม อยู่เป็นใหญ่ ส่วนลูกบ้านนั้นมีอยู่ที่ไกล บ้านผู้ใหญ่โดดเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวครัน ขับนาวาประเดี๋ยวถึงถึง เชี่ยวขวาน ข้างขวาบ้านหนึ่งหลังตั้งแข็งขัน ชื่อ นายหีต จิตกล้า ว่าสำคัญ อยู่อย่างสันติสุขทุกข์ไม่มี ถึง เชี่ยวป่ง ตรงทางวางไปซ้าย น้ำเป็นสายคลื่นคลั่งดังหูจี้ พ้นหัวเชี่ยวเลี้ยวขวาย่านวารี ที่เชี่ยวนี้ปีก่อนเราจรมา พร้อมกับพระปลัดเสริมผู้เป็นศิษย์ อันใกล้ชิดเรารักเธอนักหนา และ บำรุง สาริพัฒน์ พากันมา เป็นหลานย่าและศิษย์สนิทรัก มาพบเธอท่าพนมสมประสงค์ เอาตัวลงเรือผ่านทำงานหนัก ถ้าผิดร่องช่องท่าให้ท้วงทัก อุปสรรคตรงไหนในคงคา เรือขึ้นเชี่ยวเลี้ยวนิดจึงผิดร่อง ใบพัดต้องหักสะบั้นฟันหินผา ต้องลอยลำลงล่างขวางคงคา แอบฝั่งขวาซ่อมเสร็จระเห็จไป คราวนี้มาผ่านเชี่ยวเลี้ยวถูกช่อง พระนอบมองบอกทางหว่างไศล ถึงน้ำเชี่ยวเกลียวกล้ามาอย่างไร เรือเราไวผ่านได้ไม่ต้องรอ ผ่านเชี่ยวป่งตรงนี้มีหินมาก อย่างดักขวากกลางท่านักหนาหนอ เรือขึ้นล่องต้องระวังตั้งใจคอ ถึงเรือถ่อผิดร่องต้องจมลง เลยเชี่ยวป่งม่งเลี้ยวถึง เชี่ยวหมอน ไม่ต้องผ่อนผ่านได้ดังประสงค์ บ้านหนึ่งหลังฝั่งซ้ายภายในวง มองเห็นดงสวนร้างสร้างทุเรียน ทุเรียนใครไม่มารักษาไว้ ปล่อยให้ไม้รุงรังดังดงเสียน ถ้าแผ้วถางสางไว้ให้สวนเตียน ผลทุเรียนคงดีมีราคา มีเคหาขวาฝั่งห้าหลังเรือน พอเป็นเพื่อนพึ่งพักช่วยรักษา ความสงบสบสุขทุกเวลา ชวนกันสามัคคีดีอุดม มาถึง เชี่ยวสาคลี่ มีคลองแยก เรียกว่าแพรกสาคลี่ ชื่อนี้สม แต่สาคลี่นี้เรายังเงางม จะเป็นสมญาใดไม่แจ้งการ มีน้ำเชี่ยวเลี้ยวลดทั้งคดแคบ หินในแถบนี้ขวางอยู่กลางย่าน เรือขึ้นล่องล่มจมอยู่ซมซาน บางลำผ่านพุ่งชนจนภินท์พัง มีเรือนบ้านด้านขวาหลังคาสี่ ฝั่งซ้ายมีรวมๆอยู่สามหลัง เรือเรามุ่งตรงช่องมองระวัง จึงให้หลังเลี้ยวลาสาคลี่ไป เรือไววิ่งดิ่งผ่าน ย่านน้ำตาย ชื่อนี้ได้รู้ความน้ำไม่ไหล เห็นแต่ที่ทำไร่อยู่ชายไพร เรือวิ่งไวเลยผ่านย่านน้ำตาย มาถึงย่าน บ้านใหญ่ เข้าใจว่า เป็นคามาใหญ่กว้างอย่างมากหลาย แต่พระนอบตอบเราเขาบรรยาย ไม่มากมายสิบห้าหลังคาเรือน มองเห็นสวนล้วนต้นพืชผลไม้ ปลูกเรียงรายทั่วไปหาไหนเหมือน แต่มากอย่างสร้างสรรค์กันเลอะเลือน ดูกล่นเกลื่อนต้นไม้มากหลายพันธุ์ สวนผสมสร้างชั้นบรรพบุรุษ ไม่มีจุดมุ่งหมายให้สร้างสรรค์ อะไรเหมาะเพาะปลูกไม่ผูกพัน ปลูกสิ่งนั้นสักหน่อยตะบอยไป ปลูกสิ่งนี้สักหน่อยแล้วปล่อยไว้ ถ้าไม่ตายมีผลเป็นต้นใหญ่ ปล่อยตามบุญตามกรรมอยู่ร่ำไป ผลกำไรจึงด้อยน้อยราคา ไม่เหมือนสวนสมัยนี้ที่เขาสร้าง ตามเยี่ยงอย่างฝนฝึกได้ศึกษา ความรู้มีเรื่องธรณีวิทยา เขาค้นคว้าหาคุณภาพดิน ควรปลูกสร้างอย่างไหนให้เหมาะสม ผลอุดมได้มาเป็นอาสิน เอาสักอย่างสร้างไว้ให้พอกิน สมท้องถิ่นค้าขายได้กำไร นาวาวิ่งทิ้งทางอย่างรีบร้อน น้ำกระฉ่อนคลื่นคลั่งอย่างกังหัน รีบตะบึงถึงสองพี่น้องพลัน เบาเครื่องหันจอดท่าหน้าอาราม เห็นพวกเด็กวิ่งชิงทางมา ดูนาวาเรามองแล้วร้องถาม ถึง ท่านอั้น ใบฎีกา เจ้าอาราม ครั้นได้ความว่าไปเหนือเร่งเรือไว เมื่อเวลาสิบสี่.สี่สิบห้า ธรรมวารีรุดไม่หยุดไหน ถึง เชี่ยวโร โอ่เรียกสำเหนียกใด มีน้ำไหลเป็นเกลียวกลางเชี่ยวโร มาถึง ปากบางหมาน บ้านไม่มี ในแถวนี้ป่ากว้างอย่างอักโข มีทั้งไร่สวนร้างอย่างใหญ่โต ต้นชงโคขึ้นเคียงอยู่เรียงราย ชี้ชมพรรณปักษาคณานก บางตัวตกใจดิ้นบินไปหาย นกขมิ้นจับขมิ้นบินกรีดกราย ที่เจอะไม้นกกระไนกลางไพรวัน นกจากพรากจากคู่บินวู่ว่อน จับสะท้อนเงื่องเหงานกเขาขัน โน้นนกแก้วจับแก้วแล้วพากัน บินถลันพาคู่จู่เข้าพง ดุเหว่าร้องก้องไปในราวป่า สาลิกาบินมาจับกาหลง หมู่นกมากหลากหลายภายในดง ชมก็คงไม่หมดเหลือจดจำ มาประเดี๋ยวถึงเชี่ยวชื่อ งูเลื้อย ดูยาวเฟื้อยแคบกว้างหนทางน้ำ มีก้อนหินกีดขวางทางประจำ ทำเกลียวน้ำคดเคี้ยวเลี้ยวไปมา อย่างงูเลื้อยเลี้ยวลดคดไปซ้าย แล้วโยกย้ายเลี้ยวลดคดไปขวา เรือขึ้นล่องต้องหันผันไปมา ถ้าพลาดท่าเข้าชนป่นปี้ไป มีบ้านคนหนึ่งหลังอยู่ฝั่งขวา ในราวป่าเขากล้ามาอาศัย ขับเรือเลี้ยวงูเลื้อยเฉื่อยฉิวไป ถึง วังใหญ่ เห็นย่านหมู่บ้านคน ข้างฝั่งซ้ายสี่ห้าหลังคาเรือน อยู่เป็นเพื่อนพึ่งพาคราขัดสน สองสามหลังฝั่งขวาเห็นหน้าคน วิ่งลุกลนมาดูอยู่ริมคลอง มาถึง เชี่ยวศอกชะนี ที่คับขัน น้ำหวนหันเรือไปไม่ใคร่คล่อง เชี่ยวนี้งอข้อศอกระลอกนอง มีหินกองกีดขวางทางเรือจร เมื่อเวลาสิบสี่.ห้าสิบห้า เครื่องนาวาร้อนนักหยุดพักผ่อน ถ่ายรูปเชี่ยวเกลียวน้ำตามสาคร และสิงขรสองขอกศอกชะนี เติมน้ำมันอีกปีบด้วยรีบร้อน เร่งเรือผ่อนพ้นแก่งแหล่งวิถี เมื่อเวลาสิบห้าแห่งนาฬีก์ ศอกชะนีนี้อะไรใคร่วิจารณ์ มีบางคนท่านบอก “ซอกที่นี้” นิยายมีแจ้งประจักษ์เป็นหลักฐาน จะร่ำเรื่องยืดยาวเล่านิทาน จะเสียกาลนานเนิ่นเกินเวลา มาถึง เชี่ยวส้มโอ ดูโตใหญ่ คนอาศัยแปดหลังฯข้างฝั่งขวา ข้างฝั่งซ้ายวารีสี่หลังคา มีภูผาปิดบังทั้งสองทาง อยู่ตรงนี้เหมือนมีกำแพงกั้น สองข้างชันสูงใหญ่ไม่เหินห่าง พฤกษาส่ำต่ำสูงโน้นยูงยาง เหล่าลิงค่างบ่างชะนีมีถมไป ถึง ย่านเขาพร้าหัก มลักแล ดูเป็นแง่เป็นเงื้อมเลื่อมไศล หน้าหลากลายพรายพร่างอย่างวิไล ภูเขาใหญ่อยู่ทางข้างฝั่งซ้าย เขาบอกว่าหน้าผารูปพร้าหัก เห็นประจักษ์จริงอยู่ดูพอคล้าย สีดำๆด่างๆอย่างลวดลาย เราหยุดถ่ายรูปแล้วก็แคล้วไป ในแถวนี้มีเขาลำเนาผา ทั้งหลังหน้าสองข้างหว่างไศล เป็นชะแง่ง่อนเงื้อมเลื่อมวิไล ทั้งเล็กใหญ่ซับซ้อนสลอนลาย ยาวเป็นพืดยืดมาทั้งหน้าหลัง มาหยุดยั้งเป็นช่องเขาสองฝ่าย ครั้นลมพัดพาฝนหล่นกระจาย ทั้งเหนือใต้ผ่านทางหว่างคีรี เรียก ช่องลม ช่องฝน คนตั้งชื่อ ลมกระพือพัดล่องช่องวิถี เราชี้ชมพนาวันบรรดามี ข้างคีรีหินห้อยย้อยยาวยาน เป็นชะแง่ง่อนงุ้มเป็นปุ่มป่ำ บางแห่งดำเหลืองลายหลายสถาน เป็นโกรกกรวยห้วยห้องช่องลำธาร บางแห่งย่านเถาวัลย์พันรุงรัง ต้นพฤกษาป่าสูงเห็นยูงยาง แลสล้างเหลี่ยมผาทั้งหน้าหลัง ศิลาแดงแสงวาวขาวมลัง วิจิตรดังเลขาฉาบทารงค์ ประเดี๋ยวถึงลำเนา เขานกยาง ตั้งอยู่ข้างฝั่งขวาน่าพิศวง ไหล่คีรีมีถ้ำเป็นว้ำวง ปากถ้ำตรงลำคลองมองขึ้นไป เห็นเป็นรูปนกยางอยู่กลางถ้ำ เกาะประจำบนก้อนง่อนไศล ผันหางทางปากถ้ำเห็นรำไร มองจากไกลใหญ่อย่างนกยางจริง เราใช้กล้องส่องดูในรูถ้ำ ถ่ายรูปซ้ำเพื่อให้ได้ไว้เป็นสิ่ง อนุสรณ์จรเห็นตามเป็นจริง เสร็จแล้ววิ่งเลี้ยวขวามาไม่นาน ลุ บ้านช่องลม ดูสมชื่อ ช่องนี้หรือลมพัดอยู่ฉัดฉาน ระหว่างช่องสองเขาลำเนาธาร เจ็ดแปดบ้านเรือนตั้งอยู่ฝั่งซ้าย ถึง ทอนกวาง ข้างซ้ายใกล้ลำคลอง ราวสิบสองเรือนบ้านประมาณได้ ว่าแต่ก่อนทอนท่าหญ้ามากมาย มีกวางทรายออกกินติณชาติ มาถึง บ้านน้ำหัก ยักไปขวา เขาเล่าว่าก่อนนี้มีหลังหาด คลองคดแคบแอบผาศิลาลาด น้ำกัดขาดไหลนองเป็นคลองไป บนฝั่งซ้ายใกล้คลองมองเคหา มีสี่ห้าหกหลังทั้งเล็กใหญ่ พี่น้องเราเหล่านี้ไม่มีภัย อยู่เย็นใจกว่าบ้านย่านมากมาย มาถึง บ้านหลังถ้ำ ลำคลองเลี้ยว น้ำก็เชี่ยวเขาขวางอยู่ทางซ้าย ลำคลองชิดติดผาศิลาลาย เรือเข้าใกล้ปากถ้ำเห็นว้ำเวิ้ง มีน้ำย้อยอย่างฝอยวัสโสทก ไหลเลื่อนตกจากผาศิลาเหลิง ภูเขาง้ำลำชละเป็นพะเพิง เรารื่นเริงรื่นรมย์ชมบรรพต เรียก ถ้ำหมอก ซอกผาศิลาถ้ำ หมอกคลุมคล้ำมืดมัวทั่วไปหมด เรือวิ่งเพรียวเลี้ยวซ้ายไม่ละลด ประเดี๋ยวจดวัดถ้ำที่สำคัญ ที่ปากถ้ำลำทางส่วนข้างหน้า ริมธารารูปพระพุทธพิสุทธิไส ประดิษฐานผันหาชลาลัย ไม่เล็กใหญ่หน้าชมพอสมควร เรียกว่า วัดถ้ำพระ ประเสริฐนัก ดูเป็นหลักเขตคามไปตามส่วน ใครอยู่เย็นเป็นสุขทุกข์ไม่กวน ไกลประมวลสังคม ชมรมพาล ภูเขาถ้ำล้ำดินถิ่นอาวาส ป้องอากาศแดดฝนไม่หล่นผ่าน เป็นเพิงผาหน้าหลากลายตระการ อย่างอาคารคอนกริตชนิดดี มาคราวนั้นฉันเขียนคือเปลี่ยนนาม เป็น “วัดถ้ำวราราม” ตามใจฉัน หมายถึงคำถ้ำพระเสมือนกัน แต่ได้สรรสร้อยเสริมเติม อาราม ให้ บำรุง สาริพัฒน์ จัดลิขิต อักษรติดหน้าผาภาษาสยาม ได้สั่งไว้ให้สลักจักงดงาม แต่ทราบความขัดเหล็กสกัดกัน ฉันกลับหลังครั้งนี้ไม่มีขัด หาเหล็กสกัดส่งผ่านทางท่านอั้น ให้สลักอักษรสิ่งสำคัญ รวมถึงวันเดือนปีที่ระลึก วัดถ้ำนี้มีประวัติไม่ชัดนัก ใคร่รู้จักจึงได้ให้ซักถาม มีผู้เฒ่าเล่าต่อพอได้ความ ว่าอารามนี้ตั้งครั้งโบราณ นามสมภาร ท่านกล้วย ช่วยแผ้วถาง แล้วก่อสร้างสำนักเป็นหลักฐาน แต่ได้ใช้คูหาเป็นอาคาร กุฏิ์วิหารคือถ้ำอันอำพน ท่านกล้วยดับลับไปไม่มีผู้ จะก่อกู้วัดนี้ให้มีผล ต้องแรมร้างว่างไปไม่มีคน ได้เริ่มต้นขึ้นใหม่ไม่นานนัก คือท่านอั้นสรรสร้างให้ถางป่า หลังภูผาพื้นที่จึงมีหลัก ปีสองสี่เก้าแปดเป็นประจักษ์ เกิดเป็นหลักศาสนาแต่ครานี้ ให้ ท่านชิต เปสโล เป็นโตใหญ่ ปกครองในเขตขันฑ์คีรีศรี จงริเริ่มเสริมสร้างให้อย่างดี อย่าทิ้งที่วัดถ้ำวราราม ที่หน้าผาหน้าท่าหน้าอาวาส ดูประหลาดชอบกลทุกคนถาม มีรูปแลนคารูดูก็งาม สีคล้ายครามแก่ๆแง่ศิลา เรื่องนิยายยกไว้ต่อภายหลัง จะเล่าฟังแจ้งชัดในอรรถา เราขยับจับกล้องส่องฉายา ถ่ายแลนคารูไว้ได้ดูเงา แล้วแจ้งความถามหาใบฎีกาอั้น, กับเด็กนั้นมามองในช่องเขา, ว่าไปไกลห่างต่างลำเนา สะพานเต่า หาไม้ใช้ทำโลง ปล่อยอารมณ์ชมถ้ำซ้ำอีกหน, มองขึ้นบนตามช่องเช่นห้องโถง มีฉากกางกลางห้องดังท้องพระโรง ดูคดโค้งอย่างคิดประดิษฐ์ประดอย มาถึง บ้านสะพานเต่า เราจนใจ เหตุอะไรชื่อนี้มีมานาน เห็นมีบ้านหนึ่งหลังข้างฝั่งขวา ฝั่งซ้ายว่าคนมีสิบสี่บ้าน ทางข้ามน้ำก่อนนี้มีสะพาน เต่ามาคลานข้ามน้ำตามไปมา ในบ้านนี้ว่ามีคนชำนาญ เล่านิทานเรื่องพนมสมนักหนา ชื่อ “ป้าปีดนิทาน” เราผ่านมา ใคร่สนทนานิทานโบราณคดี แต่เวลาน้อยนักจักรีบจร ตะวันอ่อนเกรงลับดับแสงสี ในวันหน้าหาโอกาสอาจจะมี ในบัดนี้ขอลาป้าปีดไป ประเดี๋ยวหนึ่งถึงย่าน บ้านบางบอน ชื่อนี้ร้อนรำคาญทานไม่ไหว แต่บางบอนไม่ร้อนแรงเท่าใด ไม่ทำใครให้ช้ำด้วยลำบาง แต่ปากบอนค่อนว่าสารพัน คือปากคันครหาว่าถากถาง พูดติเตียนเบียนบิดให้ผิดทาง เพื่อลบล้างความดีเขามีจริง ด้วยริษยาตาร้อนนอนไม่ลง ต้องเที่ยวส่งเสียงดังทั้งชายหญิง พูดนินทาว่าคนซนเหมือนลิง โลกเรายิ่งวุ่นวายไม่เว้นวัน เรื่องนินทาว่าร้ายไม่หายแน่ เป็นกระแสโลกีย์ที่หวนหัน เป็นธรรมดามาแน่แต่เบื้องบรรพ์ ไม่มีวันจะสางและบางเบา มาถึง เชี่ยวต้นสะตอ พอคิดได้ สะตอไม้ผลดีมีมากหลาย เชี่ยวไม่แรงแก่งน้อยค่อยสบาย เรือโยกย้ายเลี้ยวล่องผยองไป เรือวิ่งผ่านซึ่งย่าน สะบ้าย้อย ยาวนิดหน่อยลำคลองน้ำนองไหล และ ยุ้งข้าว หรือ โยงข้าว คราวก่อนไกล ว่าถ้าใครได้ผ่านย่านนี้มา พวกคนธรรพ์นั้นอยู่บนภูเขา มักจะเอาข้าวสุกใส่โคมฝา ผูกเชือกหย่อนผ่อนลงในคงคา คนไปมารับประทานบานสบาย ครั้นต่อมาว่าคนทรยศ กินข้าวหมดแล้วทำระยำหลาย ขี้ใส่โคมคืนให้ไม่ละอาย แต่นั้นหายไม่โยงข้าวลงมา เรื่องเช่นนี้มีเล่ากล่าวกันไว้ ว่ามีหลายหนแห่งแหล่งภูผา ถ้าจริงจังดังกล่าวเล่าสืบมา ก็นึกน่าสมเพชในเหตุการณ์ มนุษย์เราเหล่านั้นน่าหมั่นไส้ ทำฉิบหายดังเล่ห์เดรฉาน ไม่แต่คนทุกวันเป็นอันธพาล คนโบราณก็มีอัปรีย์ครัน ถึง พับผ้า น่าดูอยู่ฝั่งขวา ริมธาราหินก้อนซ้อนหลายชั้น หยุดเรือจ้องมองเห็นเป็นอัศจรรย์ อย่างคนสรรแสร้งประดิษฐ์พิสดาร ถ่ายรูปแล้วแคล้วไปไวนักหนา ผ่านย่าน หมาแหน ที่มีหลักฐาน ว่ารูปหินมองเห็นเป็นสุวาน อยู่ในธารทางขวาท่าแหงนเงย แต่น้ำพัดผ่านพาเอาหมาล้ม บัดนี้จมสาครนอนนิ่งเฉย วิ่งผ่าน เชี่ยวคดเค็ด ระเห็ดเลย เชี่ยวนี้เคยได้ฟังแต่หลังมา เราเคยจำกำหนดเชี่ยวคดเค็ด เป็นกลเม็ดอย่างไรไฉนหนา นั้คือเชี่ยวเลี้ยวลดคดไปมา โค้งไปขวาไปซ้ายเป็นหลายที น้ำเชี่ยวเกินกำหนดที่คดเค็ด เรือระเห็ดไม่คล่องท้องวิถี ต้องเบาเครื่องเชื่องช้าผ่านวารี ลุถึงที่ เขาพัง ริมฝั่งชล อยู่ฝั่งขวาว่ามีคีรีแตก ศิลาแยกจากกันเสียงลั่นหล่น ลงริมคลองกองตั้งในวังวน มีสมญ เขาพัง แต่หลังมา ถึง เขาต้ม เขาเล่าว่า ข้าวต้ม เป็นพนมติดตั้งอยู่ฝั่งขวา มีนิยายได้เล่ากล่าวกันมา ไปข้างหน้าจะเล่าเค้านิทาน เร่งนาวามากระทั่ง วังหมื่นเดช เป็นขอบเขตแนวป่าพนาสาณฑ์ ว่าหมื่นเดชได้มาคราโบราณ ตั้งเรือนบ้านทำไร่หลายเวลา ถึง เชี่ยวยาว กล่าวไว้เราได้แจ้ง เชี่ยวเป็นแวงเป็นว้าวยาวนักหนา ยาวกว่าเชี่ยวใดๆในคงคา ที่ผ่านมาทุกเลี้ยวถึงเชี่ยวยาว ที่หัวเชี่ยวลี้ยวคล่องคลองไม่ตื้น ผู้ใหญ่ฟื้นตั้งอยู่มีผู้เล่า สี่หลังคาขวาฝั่งทั้งย่านยาว มิน่าเล่าหมู่บ้านย่านพนม หมู่บ้านนี้สี่เรือนเป็นเพื่อนกัน มีเท่านั้นหรือไรไม่เห็นสม มีอีกบ้างห่างไกลในสังคม เขานิยมอยู่เย็นเป็นสุขใจ ถึง บางตอง มองเห็นเป็นปากบาง อยู่ที่ข้างฝั่งซ้ายต้นไม้ใหญ่ พะยอมยูงสูงส่งดงมะไฟ จาบุไหรไข่เน่าคาวตะเคียน วิ่งผิดร่องคลองตื้นยื่นมาขวาง เสียงดังผางเครื่องรัวหัวเรือเหียน สลักหักพักพลันหันวนเวียน ช่วยกันเปลี่ยนอันใหม่เสียบใบพัด เสียเวลายี่สิบห้านาทีเสร็จ วิ่งระเห็จหันไปไม่มีขัด มาถึง เชี่ยวเหรียงทอง ต้องเลี้ยวลัด คลองแคบขัดคดคู้อยู่เป็นวง เชี่ยวเหรียงทองมองค้นหาต้นเหรียง งอกขึ้นเรียงรายอยู่ดูระหง คนเก็บเหรียงเพลี่ยงพล้ำกำลังงง แหวนหลุดลงคลองหายไม่คืนมา ผ่าน วังใหญ่ ในระหว่างทางฝั่งซ้าย เห็นเรียงรายริมฝั่งตั้งเคหา รอเรือจ้องมองเขม้นเห็นหลังคา สักสี่ห้าเรือนคนแล้วพ้นไป มาประเดี๋ยวเลี้ยวผ่าน สะพานนาค มองไปฟากฝั่งซ้ายบ้านไม่ใหญ่ มีสองสามหลังคาริมป่าไพร เรือวิ่งไวเลี้ยวผ่านย่านที่วัด ที่วัดนี้มีมาแต่คราหลัง ใครแรกตั้งไม่แจ้งแหล่งประวัติ เพียงลือเล่ากล่าวไว้ก็ไม่ชัด เรือวิ่งลัดหลีกไปในทันที ขอให้นามวัดนี้ที่จะตั้ง เพื่อให้ยั่งยืนอยู่คู่สยาม ชื่อว่า วัดสุมุญชการาม จงมีความภิญโญชั่วโลกี มาถึง ย่านต้นมะพร้าว ดูเข้าท่า มีหลังคาหนึ่งหลังตั้งที่นี่ อยู่บนฝั่งข้างซ้ายชายวารี โรงเรียนมีหนึ่งหลังตั้งมานาน โรงเรียนนี้นามว่า “บ้านหญ้าปล้อง” คนในท้องถิ่นนี้มีหลักฐาน มีนักเรียนไม่มากพอประมาณ สมกับบ้านคนห่างระหว่างกัน เมื่อสิบหก.ห้าสิบรีบมาถึง เป็นที่พึงพอในหัวใจฉัน เมื่อปีก่อนจรมาเวลาวัน เดือนเดียวกันดังกล่าวบอกเล่ามา แต่มาหยุดสุดทางที่วัดถ้ำฯ เพราะว่าน้ำลงแห้งแรงนักหนา ประมาณสิบนาฬีก์ที่เรามา เกือบถึงท่าวัดถ้ำวราราม ครูถ่อเรือเหงื่อไหลมุ่งไปเหนือ พอผ่านเรือของเขาเราร้องถาม ว่ามาโรงเรียนนี้ที่เขตคาม ที่มีนาม หญ้าปล้อง ล่องเลยมา ในครานั้นฉันเลยไม่เคยรู้ ว่าคุณครูต้องไปไกลนักหนา คราวนี้ผ่านย่านทางหว่างคงคา จึงรู้ว่าหนทางห่างไกลกัน แต่ออกจากวัดถ้ำฯ ธรรมวารี สี่สิบสี่นาฑีทางไม่สั้น เกือบสี่สิบกิโลฯ ทางโย้ครัน ครูคนนั้นถ่อเรือเหลือระอา บรรดาครูอยู่ทางห่างกันดาร ไปทำงานสอนฝึกเรื่องศึกษา ถ้าอยู่บ้านย่านไกลการไปมา เสียเวลาเสียการงานของครู ควรให้ครูอยู่ใกล้ได้อ่านเขียน สอนนักเรียนใกล้บ้านที่ท่านอยู่ ไม่ต้องเที่ยวถ่อเรือจนเหงื่อพรู บัดนี้ครูคนเก่าเขาย้ายไป อยู่โรงเรียนวัดถ้ำฯได้ทำงาน ใกล้ถิ่นฐานเคหาที่อาศัย คือ ครูแซว แถวนี้ที่ใครๆ ต่างพอใจนับถือชื่อเสียงดัง ประเดี๋ยวหนึ่งถึงย่าน บ้านหญ้าปล้อง รอเรือมองเคหาข้างขวาฝั่ง มีเจ็ดแปดหลังคามาจิรัง เป็นบ้านตั้งหลักฐานนานเวลา หญ้าปล้องนี้มีผู้เฒ่าเล่าให้ฟัง ว่าแต่ครั้งก่อนกาลนานนักหนา มีชายหนึ่งซึ่งเป็นชาวไชยา แต่ทีท่าจะเป็นเช่นอันธพาล เที่ยวซัดเซพเนจรรอนแรมไป ชอบที่ไหนหยุดพักไร้หลักฐาน แต่เวียนไปวนมาเวลานาน จนถึงย่านตะกั่วป่าอาศัยพัก บ้านแห่งหนึ่งซึ่งมีภริยา สาวสง่าสามานย์กล้าหาญหนัก ในเรื่องกามารมณ์บ่มความรัก จึงลอบลักเล่นชู้สู่หากัน กับชายชาวไชยาผู้อาศัย นางหลงใหลชู้รักสมัครมั่น กับชายชู้อยู่มาไม่นานวัน ก็พากันหนีพรากจากสามี ข้ามเขาศกลกลันกันทั้งสอง ถึงหญ้าปล้องเขียนป้ายชายวิถี หวังจะไว้ลายลวดอวดกวี ว่าดังนี้ถ้อยคำอย่างลำพอง “พี่ไม่ดีพี่ไม่พาสุดาเดิน ข้ามแนวเนินเขาศกตกหญ้าปล้อง” ข้างสามีตะกั่วป่ากล้าคะนอง สกดร่องรอยมาไม่ช้านาน ทันที่บ้านหญ้าปล้องทั้งสองชาย เกิดวุ่นวายแย่งรักอย่างหักหาญ ข้างชายชู้ดูเห็นไม่เป็นการ รีบลนลานหนีไปเมืองไชยา ข้างเมียหนีไม่ทันต้องหันรับ โทษเฆี่ยนขับกับหวายอายนักหนา ผัวมองเห็นแผ่นป้ายชายมรรคา แล้วจึงจารึกคำต่อทำนอง “พี่ไม่ดีพี่ไม่พาสุดากลับ ทั้งเฆี่ยนยับกับหวายหลังเป็นลายสอง” แล้วพาเมียกลับอยู่เป็นคู่ครอง บ้านหญ้าปล้องเป็นนิทานกาลต่อมา ถึง ฉางสาร บ้านนี้ว่ามี ฉาง เป็นที่ค้างข้าวสารนานนักหนา มีคนขนข้าวสารสารผ่านขี้นมา ส่งตะกั่วป่ามาค้างที่ฉางนี้ เห็นสองหลังฝั่งซ้ายชายชลธาร ปลูกเป็นบ้านอยู่ในกลางไพรศรี มาถึง เชี่ยวต่อตั้ง ยั้งนาวี ชื่อเชี่ยวนี้ชอบกลน่าสนใจ เรื่องต่อตั้งตั้งต่อขอให้คิด ไมตรีจิตมิตรสหายได้อาศัย ถ้ามิตรจิตติดตั้งฝังไว้ใน ส่วนมิตรใจต่อตั้งก็ยั่งยืน ไม่ควรต่อตั้งต่อข้อชั่วร้าย เรื่องทำลายศีลธรรมซ้ำฝ่าฝืน ผู้ต่อตั้งตั้งต่อก็เต็มกลืน อย่าเอาฟืนเติมไฟให้ลุกลาม เรือแล่นเลี้ยวถึงเชี่ยวชื่อ กระบอก เป็นระลอกฉานฉ่าน่าเข็ดขาม สองฝั่งพงดงหนาพนาราม ช่างงดงามธรรมชาติสะอาดตา ถึง เชี่ยวไทร ใจเต้นเห็นน้ำเชี่ยว, เป็นเกลียวๆกลิ้งกลอกระลอกฉ่า มีกอคล้ายไม้งอกซอกธารา ก้อนหินผากองตั้งอยู่คั่งคับ สายน้ำตื้นพื้นเชี่ยวเลี้ยวขึ้นขวา ช่องชลาแคบมากแคบมากยากขยับ เราคิดขามคร้ามเชี่ยวจะเลี้ยวลับ เป็นที่คับขันนักจักผ่านไป ทำใจป้ำขับธรรมวารี บุกขึ้นที่ช่องเชี่ยวเกลียวน้ำไหล หลีกต้นไม้ย้ายมาขวาทันใด ได้ยินใบจักรฟันคันศิลา สลักหักจักรหยุดเพียงหวุดหวิด หัวเรือผิดร่องน้ำล้ำถลา ท่านอั้นโจนโผนลงในคงคา พระนอบผ่าลงน้ำยึดลำเรือ น้ำเชี่ยวจัดพัดส่งเรือลงล่าง สององค์ต่างจับกระชากลากขึ้นเหนือ ฉันสั่งรุกปลุกใจอยู่ในเรือ สององค์เหงื่อปนน้ำบอบช้ำครัน จนพ้นเชี่ยวเลี้ยวเลียบเข้าเทียบหาด สลักขาดซ่อมแปลงจนแข็งขัน เสียเวลาสิบห้านาทีทัน ดวงตะวันจวนดับลงลับไพร ถึง ทอนทือ ชื่อทอนก่อนเขาตั้ง ปากอยู่ฝั่งข้างขวาชลาไหล ในทอนนี้มีซากสำเภาใบ ลำโตใหญ่จมดินบางชิ้นดี แสดงว่าคราหลังครั้งคลองกว้าง เป็นเส้นทางเรือจรแต่ก่อนกี้ ใช้ลำเลียงสินค้าบรรดามี จากฐานที่อ่าวไทยไปประจิม ขึ้นดอนเดินเนินเนาข้ามเขาศก ไม่เวียนวกตรงทางข้างปัจฉิม เอาเรือจอดทอดไว้ใกล้ร่องริม และจดจิมแดนป่าพนาลัย เรืออับปางขวางคลองจนร่องตื้น ขึ้นเป็นพื้นราวป่าพฤกษาศัย คลองโยกย้ายกลายสภาพลำลาบไป เป็นทอนใหญ่ที่นั้นอันดับมา เชี่ยวมะม่วง ล่วงถึงซึ่ง เนียดนก เวลาตกนาทีสี่สิบห้า เป็นของเศษสิบเจ็ดนาฬิกา หยุดเติมอาหาร ธรรมวารี อีกหนึ่งปีบรีบไปไม่รอช้า สิบเจ็ด.ห้าสิบพลันหันจากที่ ถึง เชี่ยวสองพี่น้อง มองพงพี ฝั่งซ้ายมีพฤกษาน่ารื่นรมย์ เมื่อห้าร้อยเศษศกศาสนา ทหารมาลองโลดกระโดดร่ม ทำที่พักอาศัยในพนม คนมาชมทวยทหารทะยานบิน มาถึง เชี่ยวหินขวาง อยู่กลางเชี่ยว เรือแล่นเลี้ยวหลีกทางไปหว่างหิน บางแห่งตื้นพื้นคลองมองเห็นดิน กระแสสินธุ์เชี่ยวจัดพลัดลงมา มาประเดี๋ยวเชี่ยวงามชื่อ สามรู เราพิศดูก็ไม่เห็นเป็นอย่างว่า มองเห็นมีสี่รูอยู่กับตา ไฉนมาเรียกนามว่า สามรู เราขอตอบบัญญัติให้ชัดความ เปลี่ยนชื่อตามฐานที่อันมีอยู่ ให้เรียกชื่อนี้ว่า สี่รู จงตั้งอยู่ชั่ววันกัลปา มาถึง พ่อตาควาย เราได้เห็น ที่แท้เป็นหนึ่งชิ้นก้อนหินผา ตั้งอยู่ข้างฝั่งซ้ายในคงคา โผล่ขึ้นมาเล็กน้อยเช่นลอยวน เห็นสีแสงแดงเรื่อเป็นเนื้อหิน ปริ่มวารินทัศนาน่าฉงน สมญา ตาควาย ไฉนคน ให้สมญแกว่า พ่อตาควาย เป็นอารักข์แสนศักดิ์สินธิ์ ใครพลั้งผิดบกพร่องต้องฉิบหาย เรือไปมาถ้าชนพ่อตาควาย ต้องทำลายล่มลงในคงคา ใครไปมาบูชาพ่อตาแล้ว ก็คลาดแคล้วขึ้นล่องคล่องนักหนา ไม่เผลอพลาดขาดระวังข้างนาวา ไม่เสียท่าก็ไม่เห็นจะเป็นไร เขาเล่าว่าตาควายใต้คงคา มีสี่ขาแข็งแรงแหล่งไศล เราหยุดยังฝั่งขวาแล้วว่าไป “จงเห็นใจเถิดหนาพ่อตาควาย เรามาเปลี่ยวเที่ยวท่องปลายคลองศก อย่าให้ตกทุกข์ยากลำบากหลาย เราขอแผ่เมตตาอย่าวุ่นวาย พ่อตาควายจงช่วยอำนวยการ ให้ขึ้นล่องคล่องคลายสบายเหลือ บังคับเรือตามแควกระแสสาร อย่าเกยดินหินผาพารำคาญ, อยู่เถิดท่านพ่อตาขอลากัน” แล้วจึงใช้ไฟแพล๊บแสงแปลบปลาบ ถ่ายรูปภาพตาควายได้เสร็จสรรพ์ เสียเวลาหยุดห้านาทีทัน เร่งเรือผันโผนไปในทันที วิ่งมาได้ประเดี๋ยวผ่านย่านเชี่ยวเกาะ ผ่านเฉพาะปากช่อง คลองหน่ายศรี ไม่ยั้งหยุดจุดไหนไวทันที มาถึงที่ นาใต้ สบายใจ ที่ฝั่งซ้ายใกล้คลองมีสองบ้าน ปลูกเรือนร้านเลี้ยงหมูอยู่อาศัย เมื่อสิบแปดเศษเจ็ดเผด็จภัย สำราญใจยั้งหยุดเกือบสุดทาง จากบ้านดอนจรมาห้าโมงครึ่ง บรรลุถึงนาใต้ไม่ขัดขวาง ขอสำนักพักนอนในระวาง พอรุ่งรางจะไปหยุดที่สุดคลอง ชื่อ แม่ปริ่ม เย็นใจ ให้ลูกมา ร้องทักหาปราศรัยไม่มีหมอง นิมนต์ขึ้นเคหาวางผ้าครอง ขนสิ่งของจากลำธรรมวารี เราสามองค์สรงน้ำเมื่อยามค่ำ ช่างชื่นฉ่ำชูใจได้ขัดสี น้ำใสเย็นเห็นปลาในวารี ในวันนี้เป็นประวัติสันทัดการ ไม่มีใครได้มาห้าโมงครึ่ง บรรลุถึงปลายศกเขตสถาน ถ้าใช้เรือธรรมดามากันนาน สามวันวารระยะทางเป็นอย่างไว มาถึง ปากนายเพ็ชร์ เขตพงพี ที่ตรงนี้เมื่อครั้งแต่หลังมา นายเพ็ชร์มาตั้งบ้านอยู่นานหลาย นายเพ็ชร์ตายเสียนานกาลหนักหนา บ้านก็ร้างว่างเว้นเป็นพนา น้ำเชี่ยวกล้าคลื่นคลั่งดังตกลง เรือจะดิ่งวิ่งไปไวไม่ได้ เกรงชนไม้กลางคลองต้องแหลกผง น้ำก็ตื้นพื้นเชี่ยวเลี้ยวเป็นวง ดับเครื่องลงลากลำข้ามเชี่ยวไป ใบฎีกาอั้นท่านนอบนายทะวาย ทั้งสามรายแข็งขันไม่หวั่นไหว ฉุดกระชากลากเรือนองเหงื่อไคล น้ำก็ไหลปะทะถอยลอยลงมา ไม่ยอมหยุดรุดรั้งตั้งต้นใหม่ ลากขึ้นไปหัวเชี่ยวเกลียวน้ำกล้า น้ำไหลพลุ่งพุ่งพัดซัดนาวา ถอยกลับมาท้ายเชี่ยวประเดี๋ยวใจ แต่ลากขึ้นลอยลับกลับหลายหน ปล้ำกันจนขึ้นได้แถบไม่ไหว เราสงสารสามคนเป็นใจ ล้วนเหงื่อไคลไหลหล่นปนวารี ติดเครื่องยนต์จนมา หน้าลาผึ้ง เสียงดังผึงปิ๊นจักรหักกับที่ ต้องหยุดซ่อมเสร็จได้หลายนาฑี ต่อจากนี้น้ำน้อยลากลอยไป มาถึง เชี่ยวบ้านนอก น้ำกลอกกลิ้ง วารีวิงดังลั่นอยู่หวั่นไหว บ้านนอกนี้เมื่อนานกาลก่อนไกล เป็นบ้านใหญ่คนตั้งหลายหลังคา เขาสำเนียกเรียกขาน บ้านปลายศก บัดนี้รกแรมร้างอย่างป่าช้า ต้นผลไม้รายรอบขอบพนา ปนกับป่าไม้ดงพงพนัส สะตอ. เตียน. ทุเรียน. มะพร้าว. หมาก ดูหลายหลากแลเห็นเป็นขนัด มาประเดี๋ยวเชี่ยวกล้าที่หน้าวัด เห็นป่าชัฏฝั่งซ้ายชายคงคา สุดคลองศกรกเรี้ยวน้ำเชี่ยวจัด ตรงหน้าวัดแรมรั้งอยู่ฝั่งขวา เรียกว่า ท่าต้นไทร คนไปมา ตะกั่วป่าขึ้นลงที่ตรงนี้ เราหยุดยั้งนาวาท่าต้นไทร ภาคภูมิใจปรีดิ์เปรมกษมศรี แปดนาฬิกาห้าสิบแห่งนาฑี ในวันนี้ต้องจัดประวัติการณ์ แต่เกิดมาครานี้ที่มาตก ปลายคลองศกทุเรศเขตสถาน เพราะตั้งใจไปมาเวลานาน แต่เหตุการณ์ติดขัดผัดผ่อนมา ครั้นเสร็จสรรพกลับหลังหวังจะชม พื้นพนมกว้างใหญ่ในไพรศิล ที่วัดร้างข้างซ้ายชายวาริน มีแต่ดินกับไม้หลายพืชพันธุ์ ในพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัส เขตที่วัดมีคูเป็นขอบขันธ์ ยี่สิบแปดวากว้างยาวส่วนเท่ากัน น่าอัศจรรย์ใจเห็นเป็นอย่างไร ที่อารามตามป่าพนาสัณฑ์ จึงแคบสั้นอย่างนี้มีที่ไหน ด้วยที่ดินแดนป่าพนาลัย เอาเท่าไรเอาได้ไม่ขาดแคลน รอบวัดนี้ที่ตั้งทั้งสามด้าน ของชาวบ้านนานเนาเขาหวงแหน เป็น”สวนอ้าว”เจ้าของครองดินแดน เห็นจะแค่นขยับขยายไม่ง่ายนัก ใครไม่รู่คู่ควรเรื่อง สวนอ้าว ฉันจะเล่าตามเห็นไว้เป็นหลัก คือป่าไพรไกลบ้านกันดารนัก แต่คนมักอวมที่มีผลไม้ ถ้าใครไปเก็บผลคนนั้นว่า อ้าว! ของข้าอย่าเอาเราไม่ให้ อ้าว สวนนี้ของข้าอย่าวุ่นวาย อ้าว ไว้หลาย เขตขันฑ์อรัญวาส์ คนทั้งหลายได้ฟังดังเขา อ้าว พากันเข้าใจแท้แน่นักหนา ว่าคน อ้าว เจ้าของครองพนา จึงไม่กล้าเอาอะไรในสวนนั้น สวนอย่างนี้มีนามตามที่เล่า เรียก”สวนอ้าว”มากมายหลายเขตขันฑ์ ติดต่อเขตวัดนี้ที่สำคัญ สวนอย่างนั้นมีบ้างหรืออย่างไร จึงขอให้สมภารคือท่านอั้น สอบสวนกันให้แน่ว่าแค่ไหน ขอที่ดินถิ่นป่าพนาลัย รวมเข้าในวัดร้างกว้างพอควร อย่างน้อยจัดวัดศกสักหกไร่ คงจะได้พองามไปตามส่วน ครั้นบ้านนี้มีผู้อยู่พอควร ขอให้ชวนกันถางสร้างอาราม วัดศกนี้มีประวัติจัดมาเล่า มีคนเฒ่ากล่าวกันเมื่อฉันถาม เริ่มก่อตั้งครั้งใดไม่ได้ความ ทราบแต่นามผู้ตั้งครั้งก่อนมา ชื่อ ท่านผุด ผู้สร้างถางป่ารก จึงวัดศกเป็นอาวาสศาสนา ครั้นท่านผุดสุดสิ้นชีวินทรา ท่านกลีบ มาสร้างเสริมเติมต่อไป สิ้นท่านกลีบ ท่านกล่ำ ทำหน้าที่ ในยุคนี้อาเพศเกิดเหตุใหญ่ โรคฝีดาษระบาดเข้ามาใน คนตายไปมากมายบ้างย้ายแยก หนีกระจัดพลัดพรายไปใต้เหนือ บ้างลงเรือเดินไปหลายแผนก บ้านปลายศกสงสารเป็นบ้านแตก อย่างสาแหรกขาดสะบั้นบ้านร้างไป ส่วนวัดศกสวยงามร้างตามบ้าน ท่านสมภารนั้นหนีไปที่ไหน หรือว่าไข้ทรพิษเอาติดไป ไม่มีใครเล่าไว้ไม่ได้ความ ขอเติมนามวัดนี้ที่จะตั้ง ให้ยืนยั่งต่อไปถ้าใครถาม จงชื่อว่า”วัดศกสุขาราม” ขอให้นามตั้งมั่นชั่วกัลปา ท้าวเทวาอารักข์ที่ศักดิ์สิทธิ์ สิงสถิตอยู่ทั่วทุกทิศา โปรดเงี่ยทิพโสตะสวนา สอดสายตาทิพย์จ้องมองเหตุการณ์ ว่าข้าพระธรรมรัตชโยดม-(เกตุ) นิยมพุทธศาสน์เป็นมาตรฐาน เคารพตรัยรัตนะสามประการ มาดูงานคณะสงฆ์ในวงนี้ พร้อมพระใบฎีกาอั้นและท่านนอบ ได้ถามสอบทราบหลักเป็นสักขี ว่าริมฝั่งข้างซ้ายชายวารี เคยเป็นที่พักสงฆ์คือวงวัด สั่งให้คืนฟื้นฟูดูแลไว้ เพื่อจะได้ทำประโยชน์ที่โปรดสัตว์ เมื่อคนมาตั้งบ้านย่านใกล้วัด จึงให้จัดสงฆ์คณามาครอบครอง ขออารักข์ศักดิ์สิทธิ์ทุกทิศสถาน เป็นพยานรู้เห็นอย่าเป็นสอง ช่วยรักษาอย่าให้ใครจับจอง เพื่อเป็นของศาสนาจิราการ ต่อจากนั้นฉันลาอาวาสร้าง ลาป่ากว้างเหวผาพนาสาณฑ์ เสียดายนักจักดูอยู่ให้นาน แต่กิจการข้างหลังยังมากมี ขาดแต่ทาง วังกะทัง ยังไม่ถึง เพราะเป็นบึงเป็นบางหว่างไพรศรี ส่วนลำธารย่านตื้นพื้นวารี เวลานี้น้ำหลากไหลมากมา จะบุกน้ำตามทางย่างลำบาก มีหนามขวากหินขวางทางแถวท่า จะลากพานาวีอย่างที่มา กิ่งพฤกษากีดขวางอยู่ข้างบน เขาว่าที่วังกะทงยังมีหิน ซึ่งเป็นชิ้นประวัติศาสตร์อาจได้ผล ลายเลขาจารึกลึกน่ายล มีหลายคนอ่านดูไม่รู้ความ ใครลูบคลำทำท่าว่าจะเอา จ้าวขุนเขาวังกะทงคงสั่งห้าม เกิดฝนตกฟ้าร้องก้องคำราม ทั้งมีน้ำไหลลั่นมาทันที จะเท็จจริงสิ่งใดไม่รู้ได้ เพราะฉันไม่เห็นประจักษ์เป็นสักขี คราวหลังมาถ้ามีโอกาสดี ไปถึงที่วังกะทังตามตั้งใจ เรากลับหลังครั้งนี้มิใช้จักร เอาถ่อปักจ้องค้ำตามน้ำไหล เพื่อประหยัดน้ำมันกันเอาไป ใช้ที่ในคลองกว้างทางเคยมา ถึงนาใต้บ่ายหน้านาวาจอด แลตลอดสองบ้านย่านเคหา เห็นแม่ปริ่มยิ้มพลางยกย่างมา รวมทั้งตาชื่นวิ่งเป็นสิงคลิ มารุกถามความเราไปเขาศพ ว่าได้พบได้เห็นเป็นสักขี จะลำบากยากใจในพงพี หรือว่ามีสะดวกดายสบายบาน ตาชื่นชายไม่ใช่คนแก่เฒ่า ดูรุ่นราวเจ้าทะวายได้เป็นหลาน ของแม่ปริ่มปราโมทย์แกโปรดปราน จึงเรียกหลานว่า ตา เราว่าตาม เมื่อศกเศษศาสนาปีห้าร้อย ฉันมาลอยนาวาน่าเข็ดขาม เครื่องเรือเสียเกียร์ใช้ไม่ได้ความ ชื่น ช่วยหามเครื่องยนต์ขึ้นบนวัด ทั้งเณรพระคณะเราเหล่าชาวบ้าน ที่ในย่านสองพี่น้องเห็นข้องขัด ต่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และช่วยจัด ตามถนัดในเรื่องซ่อมเครื่องยนต์ (ที่เสนอให้อ่านนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ฉบับเต็มมีอรรถรสด้านกวีมากกว่านี้)